ยินดีต้อนรับสู่เว็บบล็อก

หน่วยที่ 3

หน่วยที่ 3 การสื่อสารเพื่อการเรียนการสอน
หน่วยที่ 3
การสื่อสารเพื่อการเรียนการสอน
ความรู้พื้นฐานเรื่องการสื่อสาร
 การสื่อสาร หมายถึง กระบวนการถ่ายทอดสารจากบุคคลหนึ่ง (ผู้ส่งสาร) ไปยังบุคคลหนึ่ง (ผู้รับสาร) โดยผ่านสื่อต่าง ๆ
ความสำคัญของการสื่อสาร 
1.             ด้านสังคม เพื่อเกิดความเข้าใจ กฏระเบียบ การอยู่รวมกันอย่างสงบสุขในสังคม
2.             ความสัมพันธ์ต่ออุตสาหกรรมและธุรกิจ เป็นเครื่องมือในการเผยแพร่ข่าวสารเกี่ยวกับสินค้า ชักจูงผู้บริโภคโดยการโฆษณา
3.             ด้านการปกครอง ใช้เป็นกลไกการกระจายข่าวสารต่าง ๆ สู่ผู้ปกครองให้เข้าใจตรงกันและรับทัศนคติของผู้ถูกปกครอง
องค์ประกอบของการสื่อสาร  มี  4องค์ประกอบ  ดังนี้
             1.  ผู้ส่งสาร  (Sender) คือบุคคล  หน่วยงานที่เป็นผู้ส่งสาร  แหล่งกำเนิดสาร  แล้วส่งสารไปยังบุคคลหรือหน่วยงานอื่นด้วยวิธีเดียว  หรือหลายวิธี
              2.  สาร  (Message)  คือ  เรื่องราว  สิ่งต่าง ๆ  ในรูปข้อมูล  ความรู้  ความคิด  หรืออารมณ์ที่ผู้ส่งสารให้ผู้อื่นรับรู้  แล้วเกิดปฏิกิริยาตอบสนอง  ประกอบด้วย
                    2.1  รหัสสาร  ทั้งที่ไม่ใช้ถ้วยคำ  (กิริยา  ท่าทาง  เครื่องหมาย)  และใช้ถ้อยคำ  (ภาษาพูด  ภาษาเขียน)
                    2.2  เนื้อหาสาร  แบ่งเป็น  ข้อเท็จจริงและข้อคิดเห็น
                    2.3  การจัดสาร  คือ  รวบรวมเนื้อหา  เรียบเรียงด้วยการใช้รหัสของสารที่เหมาะสม
               3.  สื่อหรือช่องทาง  (Medium  or  Channal) 
                    สื่อ  หมายถึง  สิ่งที่เป็นพาหนะที่ทำให้สารเคลื่อนที่ออกไปจากตัวผู้ส่งสาร
                    ช่องทาง  หมายถึง  ทางที่ทำให้ผู้ส่งสาร  และผู้รับสารติดต่อกันได้
               4.  ผู้รับสาร  (Receiver)  คือ  ผลที่เกิดจากการรับสารทางพฤติกรรม  เช่น  หัวเราะ  พอใจ  ทำให้ทราบถึงความสำเร็จของการสื่อสาร
           หลักการสื่อสาร
1.             ผู้สื่อสารต้องเข้าใจองค์ประกอบในการสื่อสาร
2.             มีสื่อ / ช่องทาง ที่เหมาะสม จุดประสงค์ชัดเจน
3.             ผู้ส่งสาร ผู้รับสาร ควรเตรียมการล่วงหน้า
4.             ใช้ทักษะในภาษาที่เหมาะสมในการสื่อสาร
5.             คำนึงถึงปฏิกิริยาตอบกลับเพื่อนำมาประเมิน ปรับปรุง แก้ไขข้อบกพร่องต่อไป
วัตถุประสงค์ในการสื่อสาร
        ผู้ส่งสารมีจุดประสงค์ให้ผู้รับได้ทราบความต้องการของตน ว่าตนต้องการสื่อไปในรูปแบบไหน อาจจะมุ่งให้ผู้รับมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตามที่ผู้ส่งสารกำหนดไว้ มุ่งให้เกิดผลทางจิตใจหรืออารมณ์ มุ่งเน้นให้ผู้รับสารคล้อยตาม และเพื่อเสนอหรือชักจุงใจให้กระทำและตัดสินใจ
ประเภทของการสื่อสาร
     การสื่อสารภายในบุคคล (Intrapersonal Communication) บุคคลคนเดียว ทำหน้าที่ทั้งผู้รับและผู้ส่งสาร
     การสื่อสารระหว่างบุคคล (Interpersonal Communication) มีบุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป
     การสื่อสารกลุ่มใหญ่ (Large Group Communication) สื่อสารไปยังบุคคลที่อยู่รวมกันเป็นกลุ่ม
     การสื่อสารในองค์การ (Organization Communication) สื่อสารระหว่างสมาชิกใน องค์การ
     การสื่อสารมวลชน (Mass Communication) สื่อสารไปยังคนจำนวนมากในเวลาเดียวกัน โดยอาศัยสื่อมวลชน
อุปสรรคในการสื่อสาร
        ผู้ส่งสารและผู้รับสารมีความรู้ความเข้าใจไม่เพียงพอ มีทัศนคติที่ไม่ดี ตัวผู้ส่งสารเองก็อาจไม่มีการนำเสนอที่ทำให้ผู้รับสารเกิดความสนใจ หรืออาจจะเป็นที่ตัวสาร มีการจัดลำดับของสารไม่ดี สลับซับซ้อน และเกิดจากการเลือกสื่อหรือช่องทางที่ไม่เหมาะสม ก็ทำให้เป็นอุปสรรคในการสื่อสารได้
 ความสำคัญของการสื่อสาร
พูดถึงเรื่องการสื่อสาร ทุกคนก็คงจะรู้กันดีว่าคนเราต้องมีการสื่อสารอยู่ตลอดเวลา ทั้งสื่อสารกับตนเอง สื่อสารกับคนอื่น หรือการสื่อสารมวลชนซึ่งเราได้รับข่าวสารจากสื่อรอบตัวอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นวิทยุ โทรทัศน์ อินเตอร์เน็ต ฯลฯ
แต่เมื่อถามตัวเองว่า เราสื่อสารกับคนอื่นรอบตัวเราดีไหม หลายคนอาจจะตอบคำถามนี้ไม่ได้ เพราะไม่ได้สนใจคนที่เราสื่อสารด้วย ว่าเค้ามีปฏิกิริยาตอบรับอย่างไร เพียงแต่พูดให้รู้แต่ว่าได้บอกกล่าวกับคนอื่นแล้ว แต่ไม่สนใจท่าทางของคนที่เราพูดด้วย ว่าเค้าเข้าใจหรือเปล่า เค้าจะทำตามที่เราบอกไปหรือไม่ ทำให้บางทีการสื่อสารที่หวังผล กลับสูญเปล่าอย่างไร้ประโยชน์ มิหนำซ้ำอาจจะทำให้เกิดความเข้าใจผิดซึ่งกันและกัน ก่อให้เกิดปัญหาใหญ่โต เข้าหน้ากันไม่ติดก็ได้ในภายหลัง
 การสื่อสารจึงน่าจะถือเป็นสิ่งที่เราควรให้ความสนใจเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกับผู้ที่เราสนทนาด้วย ไม่ว่าจะพูดออกไปครั้งใด สังเกตคู่สนทนาสักนิดว่าเข้าใจสิ่งที่เราต้องการสื่อหรือไม่ เพียงแค่ใส่ใจเท่านี้ การสื่อสารเพียงครั้งเดียวก็สามารถสร้างความเข้าใจแก่กัน และยังจะสามารถสร้างสัมพันธภาพที่ดี เรียกว่ารู้จักสังเกตคนอื่น เข้าใจคนอื่น จะขัดเกลาให้เราเกิดความรู้สึกที่ดีๆ ต่อกัน และทำให้เราเป็นคนที่คิดถึงความรู้สึกของผู้อื่นด้วยเช่นกัน
ประโยชน์ของการติดต่อสื่อสาร
  การติดต่อสื่อสารมีประโยชน์ต่อการบริหารงานดังต่อไปนี้
                    1.   เพื่อแจ้งข้อมูลข่าวสาร คือ การแจ้งข้อมูลข่าวสารขององค์การต่อพนักงาน
เพื่อให้พนักงานสามารถประสานและบรรลุวัตถุประสงค์ร่วมกัน
                    2. เพื่อกระตุ้นและจูงใจ            การ จูงใจเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ก่อให้เกิดการพัฒนาการทำงานของพนักงานในองค์การ จะได้รับการจูงใจและการกระตุ้นจากการสื่อสาร องค์การจะมีประสิทธิภาพหรือไม่จึงขึ้นอยู่กับความสามารถในการชักจูงผ่านการ สื่อสารดังกล่าว
                    3. เพื่อประเมินผลการทำงาน ปัจจุบัน องค์การมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาจึงทำให้ต้องมีการประเมินผลการทำงานสม่ำ เสมอเพื่อประเมินความก้าวหน้าของการทำงาน ดังนั้นกระบวนการสื่อสารจะต้องมีประสิทธิภาพและสมบูรณ์พร้อมมีการส่งข้อมูล ย้อนกลับ ซึ่งจะทำให้องค์การสามารถดำเนินงานไปในแนวทางที่ถูกต้อง
                    4. เพื่อสร้างความสัมพันธ์ในหมู่คณะ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้บริหารกับพนักงานผู้บริหารกับผู้บริหาร พนักงานกับพนักงานทั้งในสายการบังคับบัญชาที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการก็ จะเกิดจากการสื่อสารระหว่างกันทั้งสิ้น การสื่อสารจึงเป็นตัวสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันและทำให้องค์การดำรงอยู่ และพัฒนาไปได้ในทุกสถานการณ์
                    5. เพื่อวินิจฉัยสั่งการหน้าที่ อย่างหนึ่งของฝ่ายบริหารก็คือการออกคำสั่งกับกลุ่มบุคคลที่อยู่ในองค์การ การออกคำสั่งดังกล่าวจำเป็นต้องใช้การสื่อสารที่รวดเร็ว แน่นอนและถูกต้อง ดังนั้นถ้าผู้บริหารไม่ใช้การสื่อสารก็ไม่สามารถสั่งการหรือมอบหมายหน้าที่ ให้พนักงานดำเนินการได้เลย 


องค์ประกอบของการติดต่อสื่อสาร
      ผู้พูดผู้แสดง,                  เรื่องราว                         สื่อที่นำสาร                     ผู้รับผู้ฟัง
            บุคคล                                                                    ไปยังผู้รับ                          ผู้อ่าน
http://www.tice.ac.th/Online/Online2-2548/bussiness/nantapon/b5.files/image004.gif 
การสื่อสารจะมีประสิทธิภาพหรือไม่นั้น ต้องพิจารณาในเรื่องดังนี้
1.      ผู้นำสารต้องเข้าใจจุดมุ่งหมายในการส่งข่าวสาร
2.      ผู้ส่งควรหาช่องทางการส่งข่าวสารให้เหมาะสม
3.      ผู้ส่งสารต้องเข้าใจระดับความสามารถในการสื่อสารของผู้รับสาร
4.      ผู้ส่งสารต้องรู้จักใช้เทคนิคและวิธีการถ่ายทอดข่าวสารไปยังผู้รับได้อย่างเหมาะสม
4.1        ถ้าต้องการความชัดเจน ควรใช้วิธีพบปะสนทนา
4.2        ถ้าเร่งด่วน ควรใช้โทรศัพท์
4.3        ให้คนจำนวนมากทราบ ควรใช้ประกาศ
4.4        ต้องการแจ้งเรื่องสำคัญ ควรใช้วิธีประชุมชี้แจง
4.5        ต้องการหลักฐานควรเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร

วัตถุประสงค์ของการติดต่อสื่อสาร
1.      เพื่อแจ้งข่าวสาร
2.      เพื่อชักชวน หรือจูงใจ
3.      เพื่อประเมิน
4.      เพื่อสั่งสอนหรือให้ความรู้
5.      เพื่อสนองความต้องการด้านวัฒนธรรมและมนุษยสัมพันธ์

ประโยชน์ของการติดต่อสื่อสาร
·     งานบรรลุวัตถุประสงค์ได้อย่างราบรื่น
·    เกิดความรู้สึกที่ดีต่อกัน มีความสามัคคี
·    เสริมสร้างขวัญและกำลังใจในการทำงาน
·    ลดข้อขัดแย้งที่เกิดจากความไม่เข้าใจกัน
·    ประหยัดทรัพยากรในการทำงาน
·    ประหยัดเวลา แรงงาน และค่าใช้จ่าย
·    ป้องกันการทำงานซ้ำซ้อน

ประเภทของการติดต่อสื่อสาร
        1.  การติดต่อสื่อสารภายใน (Internal Communication)  มีวัตถุประสงค์ให้บุคลากรภายในหน่วยงานได้ทราบข่าวคราว ความเคลื่อนไหวต่าง ๆ เพื่อชี้แจง กฎ ระเบียบต่าง ๆ ที่กำหนดขึ้น ทำได้ 2 วิธีคือ  
                1.1  การติดต่อด้วยวาจาหรือคำพูด  มีความสะดวก รวดเร็ว ประหยัดเงิน ให้ความรู้สึกเป็นกันเอง สังเกตความจริงใจได้ และได้ข้อมูลย้อนกลับทันที
                1.2  การติดต่อด้วยลายลักษณ์อักษร  เป็นทางการและมีหลักฐานชัดเจน สามารถอ่านทวนความได้ทุกเวลาหรือสถานที่
        การติดต่อสื่อสารภายใน สามารถแบ่งได้ 3 ลักษณะ คือ
1.      การติดต่อสื่อสารในระดับเดียวกัน  ไม่เป็นพิธีการ ง่ายแก่การเข้าใจ
2.      การติดต่อสื่อสารจากเบื้องบนสู่เบื้องล่าง เป็นพิธีการ และมักเป็นการสื่อสารทางเดียว
3.      การติดต่อสื่อสารจากเบื้องล่างสู่เบื้องบน  เป็นพิธีการเช่นเดียวกันการสื่อสารจากบนสู่ล่าง


2.  การติดต่อสื่อสารภายนอก (External Communication)
        คือ การติดต่อสื่อสารระหว่างสำนักงานกับบุคคลภายนอกหรือหน่วยงานภายนอกสำนักงาน  ลักษณะของการติดต่อสื่อสารภายนอกได้แก่
            1.         การต้อนรับ
2.      การนัดหมาย
3.      จดหมายออก และจดหมายเข้า
4.      โทรศัพท์ โทรสาร และจดหมายอิเล็กทรอนิกส์
5.      การใช้บริการจากบริษัท กสท. โทรคมนาคม จำกัด
6.      การใช้บริการบริษัทไปรษณีย์ไทย
7.      การใช้บริการสื่อมวลชนต่าง ๆ
8.      สิ่งตีพิมพ์ของบริษัท
9.      คำปราศรัย
10.    ข้อความโฆษณา

รูปแบบของการติดต่อสื่อสารในสำนักงาน
        สำนักงานขนาดเล็กมักจะใช้รูปแบบการติดต่อสื่อสารทางเสียงหรือคำพูด ส่วนสำนักงานขนาดใหญ่มักใช้รูปแบบการติดต่อสื่อสารได้ครบทุกด้าน  ซึ่งอาจแบ่งรูปแบบการติดต่อสื่อสารในสำนักงานได้ 4 ชนิด คือ
        1.  เสียงหรือคำพูด  นิยมใช้โทรศัพท์ในการติดต่อสื่อสาร โดยเฉพาะระบบโทรศัพท์ตอบรับ จะช่วยลดต้นทุนพนักงานในการรับโทรศัพท์ และเกิดความรวดเร็วในการให้บริการ  นอกจากนี้ยังมีเครื่องบันทึกเทปที่ใช้บันทึกคำพูดสั่งการของผู้บังคับบัญชาอีกด้วย
        2.  คำ  เป็นรูปแบบการติดต่อสื่อสารด้วยลายลักษณ์อักษรหรือการเขียนนั่นเอง
        3.  ภาพ  เป็นรูปแบบการติดต่อสื่อสารที่ถ่ายทอดในรูปแบบไร้คำ ไร้เสียง และไร้ตัวเลข แต่เป็นการสื่อสารด้วยภาพ หรือสัญลักษณ์ต่าง ๆ
        4.  ข้อมูล  เป็นรูปแบบการติดต่อสื่อสารที่ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เป็นช่องทางในการติดต่อระหว่างกัน  ถ้าเป็นการติดต่อสื่อสารภายในหน่วยงานเดียวกันเรียกว่า ระบบอินทราเน็ต (Intranet) ถ้าเป็นการติดต่อสื่อสารภายนอกสำนักงานไปยังเครือข่ายทั่วโลก เรียกว่า ระบบอินเทอร์เน็ต (Internet)

หลักเกณฑ์ในการติดต่อสื่อสารด้วยคำหรือการเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร
        มีหลักในการเขียนที่เรียกว่า 7 C's ดังนี้
            1.         มีความชัดเจน (Clarity)
2.      มีความสมบูรณ์ (Completeness)
3.      มีความรัดกุมและเข้าใจง่าย (Conciseness)
4.      ระลึกถึงผู้อ่าน (Consideration)
5.      มีความสุภาพ (Courtesy)
6.      มีความถูกต้อง (Correct)
7.      ข้อเท็จจริง (Concreteness)

 หลักเกณฑ์การติดต่อสื่อสารด้วยเสียงหรือการพูด
        หลักเกณฑ์การพูดที่ดี
        1.  ผู้พูดควรสร้างบรรยากาศในการพูด โดยยกตัวอย่างประกอบการพูด เพื่อสร้างความสนใจ
        2.  หลีกเลี่ยงการถ่อมตัวจนมากเกินไป หรือตำหนิผู้ฟัง สถานที่ หรือกล่าวถึงบุคคลอื่น
        3.  ไม่ควรแสดงอารมณ์โกรธ  หรือไม่พอใจผู้ฟังโดยเด็ดขาด
        4.  ใช้ภาษาง่าย ๆ แต่สุภาพ
       5.  ควรมีอารมณ์ขันขณะพูด

หลักเกณฑ์การฟังที่ดี
1.  ขณะฟังต้องฟังอย่างตั้งใจ จับประเด็นเนื้อหาสำคัญให้ได้
2. ต้องรู้จักสังเกตอากัปกิริยาท่าทาง ความรู้สึกและอารมณ์ของผู้พูด

ดังนั้นในการติดต่อสื่อสารด้วยเสียงหรือคำพูดนั้น ทั้งผู้พูดและผู้ฟังจะต้องให้ความร่วมมือกันทั้งสองฝ่าย กล่าวคือจะต้องเป็นทั้งผู้พูดและผู้ฟังที่ดี

การเรียนรู้
การเรียนรู้ หมายถึง การได้รับความรู้ พฤติกรรม ทักษะ คุณค่า หรือความพึงใจ ที่เป็นสิ่งแปลกใหม่หรือปรับปรุงสิ่งที่มีอยู่ และอาจเกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์สารสนเทศชนิดต่าง ๆ ผู้ประมวลทักษะของการเรียนรู้เป็นได้ทั้งมนุษย์ สัตว์ และเครื่องจักรบางชนิด ความก้าวหน้าในการเรียนรู้เมื่อเทียบกับเวลามีแนวโน้มเป็นเส้นโค้งแห่งการเรียนรู้ (learning curve)
การเรียนรู้ของมนุษย์อาจเกิดขึ้นจากส่วนหนึ่งของการศึกษา การพัฒนาส่วนบุคคล การเรียนการสอน หรือการฝึกฝน การเรียนรู้อาจมีการยึดเป้าหมายและอาจมีความจูงใจเป็นตัวช่วย การศึกษาว่าการเรียนรู้เกิดขึ้นได้อย่างไรเป็นส่วนหนึ่งของสาขาวิชาประสาทจิตวิทยา (neuropsychology) จิตวิทยาการศึกษา (educational psychology) ทฤษฎีการเรียนรู้ (learning theory) และศึกษาศาสตร์ (pedagogy) การเรียนรู้อาจทำให้เกิดพฤติกรรมการเรียนรู้ (habituation) หรือการวางเงื่อนไขแบบดั้งเดิม (classical conditioning) ซึ่งพบในสัตว์หลายชนิด หรือทำให้เกิดกิจกรรมที่ซับซ้อนมากขึ้นอย่างเช่นการเล่น ซึ่งพบได้เฉพาะในสัตว์ที่มีเชาวน์ปัญญา [1][2] การเรียนรู้อาจก่อให้เกิดความตระหนักอย่างมีสำนึกหรือไม่มีสำนึกก็ได้
การเรียนรู้ หมายถึง การได้รับความรู้ พฤติกรรม ทักษะ คุณค่า หรือความพึงใจ ที่เป็นสิ่งแปลกใหม่หรือปรับปรุงสิ่งที่มีอยู่ และอาจเกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์สารสนเทศชนิดต่าง ๆ ผู้ประมวลทักษะของการเรียนรู้เป็นได้ทั้งมนุษย์ สัตว์ และเครื่องจักรบางชนิด ความก้าวหน้าในการเรียนรู้เมื่อเทียบกับเวลามีแนวโน้มเป็นเส้นโค้งแห่งการเรียนรู้ (learning curve)
การเรียนรู้ของมนุษย์อาจเกิดขึ้นจากส่วนหนึ่งของการศึกษา การพัฒนาส่วนบุคคล การเรียนการสอน หรือการฝึกฝน การเรียนรู้อาจมีการยึดเป้าหมายและอาจมีความจูงใจเป็นตัวช่วย การศึกษาว่าการเรียนรู้เกิดขึ้นได้อย่างไรเป็นส่วนหนึ่งของสาขาวิชาประสาทจิตวิทยา (neuropsychology) จิตวิทยาการศึกษา (educational psychology) ทฤษฎีการเรียนรู้ (learning theory) และศึกษาศาสตร์(pedagogy) การเรียนรู้อาจทำให้เกิดพฤติกรรมการเรียนรู้ (habituation) หรือการวางเงื่อนไขแบบดั้งเดิม (classical conditioning) ซึ่งพบในสัตว์หลายชนิด หรือทำให้เกิดกิจกรรมที่ซับซ้อนมากขึ้นอย่างเช่นการเล่น ซึ่งพบได้เฉพาะในสัตว์ที่มีเชาวน์ปัญญา [1][2] การเรียนรู้อาจก่อให้เกิดความตระหนักอย่างมีสำนึกหรือไม่มีสำนึกก็ได้

ความหมายของการศึกษา 
ยัง ยัคส์  รุสโซ  (Jean Jacques  Rousseau)  ได้ให้ความหมายของการศึกษาไว้ว่า การศึกษา
คือ การปรับปรุงคนให้เหมาะกับโอกาสและสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไป   หรืออาจกล่าวได้ว่า    การศึกษา คือ
การนำความสามารถในตัวบุคคลมาใช้ให้เกิดประโยชน์
                        โจฮัน เฟรดเดอริค  แฮร์บาร์ต   (John   Friedich   Herbart)     ให้ความหมายของการศึกษาว่า
การศึกษาคือ  การทำพลเมืองให้มีความประพฤติดี  และมีอุปนิสัยที่ดีงาม
                        เฟรด  ดเอริค  เฟรอเบล  (Friedrich  Froebel)  การศึกษา  หมายถึง  การพัฒนาบุคลิกภาพของเด็กเพื่อให้เด็กพัฒนาตนเอง
                        จอห์น  ดิวอี้  (John  Dewey)   ได้ให้ความหมายของการศึกษาไว้หลายความหมาย  คือ
        1.   การศึกษาคือชีวิต ไม่ใช่เตรียมตัวเพื่อชีวิต
                        2.   การศึกษาคือความเจริญงอกงาม
                        3.   การศึกษาคือกระบวนการทางสังคม
                        4.   การศึกษาคือการสร้างประสบการณ์แก่ชีวิต
                        คาร์เตอร์ วีกู๊ด  (Carter  V. Good)  ได้ให้ความหมายของการศึกษาไว้  3  ความหมาย  คือ
                        1.  การศึกษาหมายถึงกระบวนการต่าง ๆ ที่บุคคลนำมาใช้ในการพัฒนาความรู้ความสามารถ เจตคติ ความประพฤติที่ดีมีคุณค่า และมีคุณธรรมเป็นที่ยอมรับนับถือของสังคม
                        2.  การศึกษาเป็นกระบวนการทางสังคม  ที่ทำให้บุคคลได้รับความรู้  ความสามารถจาก
สิ่งแวดล้อมที่โรงเรียนจัดขึ้น
        3.  การศึกษาหมายถึงการถ่ายทอดความรู้ต่างๆ ที่รวบรวมไว้อย่างเป็นระเบียบให้คนรุ่นใหม่ได้ศึกษา
                        ..ปิ่น มาลากุล   การศึกษาเป็นเครื่องหมายที่ทำให้เกิดความเจริญงอกงามในตัวบุคคล
ดรสาโช  บัวศรี  การศึกษา หมายถึง การพัฒนาบุคคลและสังคมที่ทำให้คนได้มีการเรียนรู้ และพัฒนาขึ้นไปสู่ความเป็นสมาชิกที่ดีของสังคม
                    สรุป การศึกษา  เป็นกระบวนการให้ส่งเสริมให้บุคคลเจริญเติบโตและมีความเจริญงอกงามทางกาย  อารมณ์ สังคม และสติปัญญาจนเป็นสมาชิกของสังคมที่มีคุณธรรมสูง

การเรียนรู้  (Learning)    
                        1.   หมายถึง   กระบวนการที่ประสบการณ์ตรงและประสบการณ์ทางอ้อมกระทำให้อินทรีย์ เกิดการเลี่ยนแปลง  
                        2.   หมายถึง  การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม อันเนื่องมาจากได้รับประสบการณ์ (Experience)
ประสบการณ์   (Experience)    คือ  การที่บุคคลใช้ประสาทสัมผัสปะทะ (Interaction)  กับสิ่งแวดล้อม(Environment)  ซึ่งประกอบด้วย สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ  สิ่งแวดล้อมทางสังคม (มนุษย์ด้วยกัน)  และสิ่งแวดล้อมทางขนบธรรมเนียมประเพณีต่าง ๆ ที่บุคคลปะทะแล้วทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
                   ปกติสภาพแวดล้อมมีทั้งดีและไม่ดี  สิ่งแวดล้อมที่ดีจะเปลี่ยนพฤติกรรมไปในทางที่ดี ในทางตรงข้ามถ้าสิ่งแวดล้อมไม่ดีก็จะเปลี่ยนพฤติกรรมไปในทางไม่ดี ทั้งนี้เมื่อพันธุกรรมเป็นตัวคงที่  ดังนั้นถ้าต้องการให้บุคคลเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปในทางดี  (การศึกษาเจริญงอกงามจึงไม่อาจปล่อยให้บุคคลไปปะทะกับสิ่งแวดล้อมโดยอิสระ จำเป็นต้องจัดสถานการณ์เฉพาะให้บุคคลปะทะถึงสิ่งแวดล้อมที่ดีและนี่คือที่มาของการจัดการศึกษา   ในการจัดการศึกษาจุดมุ่งหมายสำคัญก็เพื่อให้มีการสอนที่ถูกต้องชัดเจน

ความหมายของการสอน
                        -   การสอน  หมายถึง  การถ่ายทอดความรู้
                        -   การสอน  หมายถึง  การจัดให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้
                        -   การสอน  หมายถึง  การฝึกให้ผู้เรียนคิดแก้ปัญหาต่าง ๆ
                        -   การสอน  หมายถึง  การแนะแนวทางแก่ผู้เรียนเพื่อให้ศึกษาหาความรู้
                        -   การสอน  หมายถึง  การสร้างหรือการจัดสถานการณ์เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้
                        -   การสอน  หมายถึง  กระบวนการที่ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ เกิดความคิดที่จะนำความรู้ไปใช้ ให้เกิดทักษะหรือความชำนาญที่จะแก้ปัญหาได้อย่างเหมาะสม
                        -   การสอน  หมายถึง  การจัดประสบการณ์ที่เหมาะสมให้นักเรียนได้ปะทะ   เพื่อที่จะให้เกิดการเรียนรู้  หรือเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปในทางที่ดีขึ้น    การสอนจึงเป็นกระบวนการสำคัญที่ก่อให้เกิดการเจริญงอกงาม

 ระบบการเรียนการสอน
                   ระบบการเรียนการสอน  มีองค์ประกอบที่เป็นตัวป้อน  กระบวนการ  และ  ผลผลิต
                        1. ตัวป้อน ได้แก่  ครู หรือผู้สอน  ผู้เรียน  หลักสูตร สิ่งอำนวยความสะดวก สื่อ วัสดุอุปกรณ์
                        2. กระบวนการ ได้แก่ การดำเนินการสอน การตรวจสอบความรู้พื้นฐาน การสร้างความพร้อมในการเรียน การใช้เทคนิคการสอนต่าง ๆ
                        3. ผลผลิต  ได้แก่  ผลการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัย  จิตพิสัย และทักษะพิสัย

จุดประสงค์การเรียนการสอน
                       ความหมายของจุดประสงค์การเรียนการสอน
                        จุดประสงค์การเรียนการสอน   คือ  ข้อความที่ระบุคุณลักษณะการเรียนรู้  และความสามารถที่ครูต้องการให้เกิดขึ้นกับนักเรียนหลังจากที่นักเรียนได้ผ่านกิจกรรมการเรียนการสอนในบทหนึ่ง ๆ แล้ว  
                        ความสำคัญของจุดประสงค์การเรียนการสอน
จุดประสงค์การเรียนการสอน   เป็นจุดหมายปลายทางของการเรียนการสอนที่ได้แนวทางมาจากความคิดรวบยอดการเรียนการสอน เป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอนและการวัดผลการสอนจุดประสงค์การเรียนการสอนย่อมแสดงว่า นักเรียนเกิดการเรียนรู้  แบ่งได้เป็น 2 ระดับ  คือ
                        1.  จุดประสงค์ทั่วไป  เป็นจุดประสงค์ที่มีความหมายกว้างไม่เฉพาะเจาะจง และเป็น
จุดประสงค์ที่กำหนดขึ้นเพื่อแสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้ง   เช่น   เพื่อให้มีนิสัยใฝ่หาความรู้    เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจ และเห็นคุณค่าในศิลปวัฒนธรรมไทย
                        2.  จุดประสงค์เฉพาะ  เป็นจุดประสงค์ที่มีความเฉพาะเจาะจง และเป็นจุดที่ตั้งขึ้น  เพื่อแสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้ง  เช่น นักเรียนสามารถเขียนแผนภูมิแท่งได้ นักเรียนสามารถวาดภาพได้  จุดประสงค์เฉพาะจะชี้ให้เห็นสิ่งที่ต้องการจากการศึกษาอย่างเจาะจง  และเกี่ยวข้องกับเนื้อหาโดยตรง       นอกจากนี้ จุดประสงค์ยังอาจแบ่งได้ตามลักษณะการเรียนรู้ได้เป็น 3  ด้าน 

การจำแนกประเภทของจุดประสงค์ทางการศึกษาของ  บลูม และคณะ
                   บลูม   ( Benjamin  S. Bloom )  และ คณะ    ได้จำแนกจุดประสงค์ทางการศึกษา (Taxonomy  of  Education Objects)  ออกเป็น  3   ด้าน  ดังนี้
                        1.  ด้านพุทธิพิสัย  (Cognitive  Domain)    หรือด้านสติปัญญา    หรือด้านความรู้  และการคิดประกอบด้วยความรู้ความจำเกี่ยวกับสิ่งต่างๆการนำเอาสิ่งที่เป็นความรู้ความจำไปทำความเข้าใจ นำไปใช้การใช้ความคิด  วิเคราะห์  สังเคราะห์  และประเมินค่า
                        2.  ด้านจิตพิสัย  (Effective  Domain)  หรือด้านอารมณ์ – จิตใจ  ความสนใจ  เจตคติ  ค่านิยม และคุณธรรม  เช่น   การเห็นคุณค่า  การรับรู้  การตอบสนอง  และการสร้างคุณค่าในเรื่องที่ตนรับรู้ นั้นแล้วนำเอาสิ่งที่มีคุณค่านั้นมาจัดระบบและสร้างเป็นลักษณะนิสัย
                        3.  ด้านทักษะพิสัย   (Psychomotor  Domain)   หรือด้านทักษะทางกาย   หรือด้านการปฏิบัติประกอบด้วย ทักษะการเคลื่อนไหว  และการใช้อวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย  เช่น การเลียนแบบ การทำตามคำบอก  การทำอย่างถูกต้องเหมาะสม  การทำได้ถูกต้องหลายรูปแบบ  การทำได้อย่างเป็นธรรมชาติ

จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม 
                   จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม  คือ  จุดประสงค์ของการเรียนการสอนที่บอกให้ทราบว่า หลังจากจบบทเรียนนั้น ๆ แล้ว  ผู้เรียนสามารถแสดงพฤติกรรมที่วัดได้  สังเกตได้ ออกมาอย่างไรบ้าง

หลักทั่วไปในการเขียนจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม
                        1.   เขียนสั้น ๆ ให้ได้ใจความ ควรมีความยาวหนึ่งหรือสองประโยคเท่านั้น
                        2.   ระบุพฤติกรรมที่คาดว่าจะเกิดเพียงหนึ่งพฤติกรรม
                        3.   ระบุพฤติกรรมปลายทางที่คาดว่าจะเกิด
                        4.   เป็นพฤติกรรมที่สังเกตเห็นเป็นรูปธรรม ไม่ใช่สิ่งที่เป็นนามธรรม

ลักษณะการสอนที่ดี  
                    การสอนที่ดีควรมีลักษณะ  ดังนี้
                        1.  มีการส่งเสริมนักเรียนให้เรียนด้วยการกระทำ  การได้ลงมือทำจริง   ให้ประสบการณ์ที่มีความหมาย
                        2.  มีการส่งเสริมนักเรียน ให้เรียนด้วยการทำงานเป็นกลุ่ม  นักเรียนได้แสดงความคิดเห็นยอมรับความคิดเห็นซึ่งกันและกัน  การทำงานร่วมกับผู้อื่น
                        3.   มีการตอบสนองความต้องการของนักเรียน เรียนด้วยความสุข  ความสนใจ กระตือรือร้นในการทำกิจกรรมต่าง ๆ
                        4.   มีการสอนให้สัมพันธ์ระหว่างวิชาที่เรียนกับวิชาอื่น ๆ ในหลักสูตรเป็นอย่างดี
                        5.   มีการใช้สื่อการสอน จำพวกโสตทัศนวัสดุ  เพื่อเร้าความสนใจ ช่วย ผู้เรียนเข้าใจบทเรียนได้ง่ายขึ้น
                        6.   มีกิจกรรมที่หลากหลาย เพื่อเร้าความสนใจ  ผู้เรียนสนุกสนาน ได้ลงมือปฏิบัติจริง และดูผลการปฏิบัติของตนเอง
                        7.   มีการส่งเสริมให้นักเรียนได้ใช้ความคิดอยู่เสมอด้วยการซักถามหรือให้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับปัญหาง่าย ๆ  เด็กคิดหาเหตุผลเปรียบเทียบ  และพิจารณาความสัมพันธ์ของสิ่งต่าง ๆ
                        8.   มีการส่งเสริมความคิดริเริ่ม  และความคิดสร้างสรรค์  ส่งเสริมการคิดทำสิ่งใหม่ ๆ ที่ดี มีประโยชน์ ไม่เลียนแบบใคร  ส่งเสริมกิจกรรมสุนทรียภาพ ร้อยกรอง วาดภาพ และแสดงละคร
                        9.   มีการใช้การจูงใจในระหว่างเรียน เช่น รางวัล การชมเชย คะแนนแข่งขัน เครื่องเชิดชูเกียรติ การลงโทษ ซึ่งจะช่วยให้เกิดความสนใจ ตั้งใจ ขยันหมั่นเพียรในการเรียนและทำกิจกรรม
                        10.  มีการส่งเสริมการดำเนินชีวิตตามแบบประชาธิปไตย   เปิดโอกาสให้แสดงความคิดเห็น มีการรับฟังความคิดเห็นซึ่งกันและกัน  เคารพความคิดเห็นของผู้อื่น  ยกย่องความคิดเห็นที่ดี   นักเรียนมีส่วนร่วม ในการวางแผนร่วมกับครู
                        11.  มีการเร้าความสนใจ ก่อนลงมือทำการสอนเสมอ 
                        12.  มีการประเมินผลตลอดเวลา โดยวิธีการต่าง ๆ  เช่น  การสังเกต การซักถาม การทดสอบ เพื่อให้แน่ใจว่าการสอนของครูตรงตามจุดประสงค์มากที่สุด
วิธีสอนแบบต่าง ๆ
                   ไม่สามารถกล่าวได้ว่าวิธีใดเป็นวิธีสอนที่ดีที่สุดเพราะการเรียนการสอนต้องขึ้นกับองค์ประกอบหลายประการ  ดังนั้น  จึงเป็นหน้าที่ของครูที่จะต้องตัดสินใจเลือกวิธีสอน ตามความเหมาะสมของสภาพที่เป็นอยู่ ควรนำเทคนิคต่างๆมากระตุ้นและเร้าความสนใจของผู้เรียน โดยพิจารณาให้เหมาะสมกับเนื้อหาและเวลาที่กำหนดให้ 

การเลือกวิธีสอน 
                        -    สอดคล้องกับจุดประสงค์ของบทเรียน  เป็นวิธีที่มั่นใจว่าจะสามารถช่วยให้ผู้เรียนบรรลุจุดประสงค์อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
                        -    สอดคล้องกับเนื้อหาสาระที่จะสอนนั้น
        -    เหมาะสมกับเวลา  สถานที่  และจำนวนผู้เรียน

ประเภทของวิธีสอน
                     1.  วิธีสอนที่ยึดครูเป็นศูนย์กลาง (Teacher – Centered Method) ได้การสอนที่ครูเป็นผู้สอน
ครูเป็นผู้ดำเนินกิจกรรมการเรียนการสอนเป็นส่วนใหญ่   เช่น   ครูจะเป็นผู้ตั้งจุดมุ่งหมาย  ควบคุมเนื้อหา จัดกิจกรรม และวัดผล เป็นต้น  วิธีสอนแบบนี้มีหลายวิธี ได้แก่  วิธีสอนแบบบรรยาย วิธีสอนแบบสาธิต วิธีสอนโดยการทบทวน
                     2.  วิธีสอนที่ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (Child - centered  Method) ได้แก่ วิธีสอนที่ให้นักเรียน
ได้มีโอกาสเป็นผู้ค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเอง เป็นผู้วางแผนบทเรียน ดำเนินการค้นคว้าหาความรู้  ครูเป็นเพียงผู้แนะแนวไปสู่การค้นคว้า แนะนำสื่อการเรียนการสอน จนนักเรียนได้ความรู้ด้วยตนเอง  ได้แก่  วิธีสอนแบบบูรณาการ  วิธีสอนแบบทดลอง  วิธีสอนแบบโครงการ วิธีสอนแบบศูนย์การเรียน วิธีสอนแบบสืบสวนสอบสวน  วิธีสอนแบบแบ่งกลุ่มทำงาน  วิธีสอนแบบอภิปราย  วิธีสอนแบบหน่วย  วิธีสอนแบบอุปนัย   วิธีสอนแบบนิรนัย   วิธีสอนแบบแสดงบทบาทสมมุติ    วิธีสอนแบบวิทยาศาสตร์   วิธีสอนแบบผู้เรียนมีส่วนร่วม  วิธีสอนแบบขั้นทั้ง 4 ของอริยสัจสี่   (ดรสาโรช บัวศรี)

วิธีสอนแบบขั้นทั้ง  4   ของอริยสัจสี่
                        1.   ขั้นกำหนดปัญหา……… (ขั้นทุกข์)
-    ศึกษาปัญหา
                             -    กำหนดขอบเขตของปัญหาที่จะแก้
2.   ขั้นตั้งสมมุติฐาน……….. (สมุทัย)
-    พิจารณาสาเหตุของปัญหา
-    จะต้องแก้ปัญหาที่สาเหตุ
-    พยายามทำอะไรหลาย ๆ อย่าง  เพื่อแก้ปัญหาให้ตรงสาเหตุ
3.   ขั้นการทดลองและเก็บข้อมูล….(นิโรธ)
-    ทดลองใช้วิธีการต่าง ๆ
-    ทดลองได้ผลประการใด บันทึกข้อมูลไว้
4.   ขั้นสรุปข้อมูลและสรุปผล……. (มรรค)
-    วิเคราะห์เปรียบเทียบ
-    สรุปผลและแนวทางเพื่อปฏิบัติ
                        4.   ครูต้องใช้เครื่องมือที่เหมาะสม ถูกต้องกับวิชานั้น ๆ
                        5.    ต้องสาธิตเกี่ยวกับบทเรียน

วิธีสอนแบบทดลอง
                   วิธีสอนแบบทดลอง  หมายถึง   กระบวนการจัดการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียน ได้ลงมือปฏิบัติ  ศึกษาค้นคว้าหาความรู้ และทำการทดลองด้วยตนเอง  เพื่อทำการพิสูจน์หลักการ ทฤษฎี  หรือ ข้อเท็จจริงต่าง ๆ โดยกำหนดปัญหา ตั้งสมมติฐานในการทดลอง ลงมือปฏิบัติตามขั้นตอนที่กำหนด   โดยใช้วัสดุ อุปกรณ์ที่จำเป็น เก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล สรุปอภิปรายผลการทดลองและสรุปผลการเรียนรู้  ที่ได้จากการทดลอง ภายใต้การแนะนำ ดูแล ให้คำปรึกษาและช่วยเหลืออย่างใกล้ชิดจากผู้สอน
                    วัตถุประสงค์ เป็นวิธีสอนที่ให้ผู้เรียนรายบุคคล/รายกลุ่มเกิดการเรียนรู้จากประสบการณ์ตรงโดยการสังเกตและทดลองด้วยตนเอง เป็นการเรียนรู้ที่มีความหมายสำหรับผู้เรียน ทำให้จดจำได้นานเพื่อพัฒนาผู้เรียนเกี่ยวกับทักษะทางวิทยาศาสตร์และทักษะการใช้เครื่องมือต่าง ๆ ในการทดลอง

ขั้นตอนความสำคัญของการสอน
                        การจัดการเรียนรู้แบบทดลองมีขั้นตอนสำคัญ ดังต่อไปนี้
                        1.  ขั้นเตรียม
1.1   กำหนดจุดประสงค์  ผู้สอนต้องศึกษาหลักสูตร คู่มือครู  หรือแผนการสอน  แล้วตั้งจุดประสงค์การสอนให้ชัดเจนว่า ต้องการให้ผู้เรียนเกิดพฤติกรรมแต่ละด้านอย่างไรบ้าง
                                1.2   วางแผนจัดการเรียนรู้
                                1.3   จัดเตรียมวัสดุและเครื่องมือ
1.4   ตรวจสอบความถูกต้องและประสิทธิภาพของเครื่องมือ 
1.5
   เตรียมผู้เรียน
                        2.  ขั้นทดลอง
                                2.1  ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน เป็นขั้นเร้าความสนใจ ผู้สอนควรได้แจ้งจุดประสงค์การทดลอง ขั้นตอนวิธีการทดลอง แนะนำการใช้เครื่องมือ วัสดุอุปกรณ์  ให้ผู้เรียนได้ทราบบทบาทของตน
                                2.2  ขั้นทดลอง ผู้เรียนเป็นผู้ดำเนินการทดลองโดยผู้สอนเป็นผู้ดูแลให้คำแนะนำช่วยเหลือให้การทดลองเป็นไปตามขั้นตอนที่กำหนดไว้
                        3.  ขั้นเสนอผลการทดลอง
                        ผู้เรียนนำเสนอผลการทดลอง   และรายละเอียดประกอบโครงการทดลอง    การเตรียมการ วิธีการทดลองและผลที่ได้จากการทดลอง
                        4.  ขั้นสรุปผลการทดลองและอภิปรายผล
                        ในขั้นนี้จะสรุปผลและอภิปรายผลของแต่ละกลุ่ม มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่ตนเองได้รับ ระหว่างกลุ่มด้วย
                        5.  ขั้นประเมินผล                                                                                                    
                        ขั้นนี้ผู้สอนและผู้เรียนควรร่วมกันประเมินผลผู้เรียนในด้านต่าง ๆ และแจ้งให้ผู้เรียนทราบเพื่อการปรับปรุงแก้ไขในการทดลองที่จะมีขึ้นในครั้งต่อไป

วิธีสอนแบบอภิปราย
                   ความหมาย   คือ  วิธีการสอนที่ผู้สอนให้ผู้เรียนมาประชุมกันเป็นกลุ่ม  หรือร่วมแสดงความคิดเห็น หรือระดมความคิดในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรือปัญหาใดปัญหาหนึ่งตามที่ผู้สอนกำหนด
                    ประเภทของการอภิปราย
                   1.  การอภิปรายในชั้นเรียน  เป็นการอภิปรายกลุ่ม ( Group Discussion )  อาจจัดเป็น 
                          1.1    อภิปรายทั้งชั้น  ( Whole Class Discussion )
                          การอภิปรายทั้งชั้น ( Whole Class Discussion )   เป็นการสอนที่ผู้สอน เป็นผู้นำอภิปราย โดยเริ่มจากการใช้คำถามเร้าความสนใจให้ผู้เรียนร่วมแสดงความคิดเห็นในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง   และผู้สอนในฐานะผู้นำอภิปรายจะช่วยเชื่อมโยงความคิดต่าง ๆ จนได้ข้อสรุปในที่สุด
                          1.2    อภิปรายกลุ่มย่อย ( Small Group Discussion )
                          การอภิปรายกลุ่มย่อย (Small Group Discussion)  เป็นกระบวนการที่ผู้สอนใช้ในการช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ที่กำหนด  โดยการจัดผู้เรียนเป็นกลุ่มเล็ก ๆ  ประมาณ  4 - 8 คน ให้ผู้เรียนในกลุ่มพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลความคิดเห็น  ประสบการณ์ในประเด็นที่กำหนด    และสรุปผลการอภิปรายออกมาเป็นข้อสรุปของกลุ่ม 
                   วัตถุประสงค์
                   เป็นวิธีการที่มุ่งช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้    มีโอกาสแสดงความคิดเห็นและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ อันจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ในเรื่องที่เรียนกว้างขึ้น
                   ขั้นตอนสำคัญของการสอน
                          1.   ผู้สอนจัดผู้เรียนออกเป็นกลุ่มย่อย ๆ กลุ่มละประมาณ  4-8 คน
                          2.   ผู้สอน / ผู้เรียน กำหนดประเด็นในการอภิปราย
                          3.   ผู้เรียนพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ตามประเด็นอภิปราย
                          4.   ผู้เรียนสรุปสาระที่สมาชิกกลุ่มได้อภิปรายร่วมกัน เป็นข้อสรุปของกลุ่ม
                          5.   ผู้สอนและผู้เรียน นำข้อสรุปของกลุ่มย่อยมาใช้ในการสรุปบทเรียน

วิธีสอนแบบสาธิต
                    ความหมาย  คือ กระบวนการที่ผู้สอนใช้ในการช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ที่กำหนด โดยการแสดงหรือทำสิ่งที่ต้องการให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ สังเกตแล้วให้ผู้เรียนซักถาม อภิปรายและ สรุปการเรียนรู้ที่ได้จากการสังเกต การสาธิต
                    วัตถุประสงค์  เป็นวิธีการที่มุ่งช่วยให้ผู้เรียนทั้งชั้นได้เห็นการปฏิบัติจริงด้วยตาตนเอง  ทำให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ ในเรื่องหรือการปฏิบัตินั้นชัดเจนขึ้น
                    ขั้นตอนสำคัญของการสอน
                          1.   ผู้สอนแสดงการสาธิต ผู้เรียนสังเกตการสาธิต
                          2.   ผู้สอนและผู้เรียนอภิปรายและสรุปการเรียนรู้ที่ได้จากการสาธิต
                     พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ  ฉบับ พ.ศ. 2542  ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา  ฉบับกฤษฎีกา  เล่มที่ 116  ตอนที่ 74 ก  วันที่ 19 สิงหาคม 2542   นั่นก็หมายความว่า  พระราชบัญญัติฉบับนี้มีผลบังคับใช้  ตั้งแต่วันที่  20  สิงหาคม  2542   เป็นต้นไป   ซึ่งจะเป็นปรากฏการณ์ แห่งการเปลี่ยนแปลงการศึกษาของชาติ  โดยหลักการแล้วได้ให้ความสำคัญกับผู้เรียน หรือการเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ดังในหมวด 4   แนวการจัดการศึกษา   ได้กล่าวในมาตรา 24 ว่า  การจัดกระบวนการเรียนรู้ให้สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการดังต่อไปนี้
                   1.  จัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของผู้เรียนมาใช้เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหา
                   2.  ฝึกทักษะ กระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์ และการประยุกต์ความรู้    มาใช้เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหา
                   3.  จัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ฝึกการปฏิบัติให้ทำได้ คิดเป็น        ทำเป็น รักการอ่านและเกิดการใฝ่รู้อย่างต่อเนื่อง
                   4.  จัดการเรียนการสอนโดยผสมผสานสาระความรู้ด้านต่าง ๆ อย่างได้สัดส่วนสมดุลกันรวมทั้งปลูกฝังคุณธรรม ค่านิยมที่ดีงาม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ไว้ในทุกวิชา 
                   5.  ส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้สอนสามารถจัดบรรยากาศสภาพแวดล้อม สื่อการเรียน และอำนวยความสะดวกเพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และมีความรอบรู้ รวมทั้งสามารถใช้การวิจัย         เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ ทั้งนี้ผู้สอนและผู้เรียนอาจเรียนรู้ไปพร้อมกันจากสื่อการเรียนการสอนและแหล่งวิทยาการประเภทต่าง ๆ
                   6.  จัดการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นได้ทุกเวลาทุกสถานที่ มีการประสานความร่วมมือกับบิดามารดาผู้ปกครอง และบุคคลในชุมชมทุกฝ่าย เพื่อร่วมกันพัฒนาผู้เรียนตามศักยภาพ จากมาตรา 24 สามารถที่จะวิเคราะห์ความคาดหวังและเป้าหมายที่ต้องการให้นักเรียนปรับเปลี่ยนไป ซึ่งสามารถสรุปได้ดังนี้
                          6.1.   การเรียนการสอนต้องสนองตอบต่อความแตกต่างระหว่างบุคคล                
                          6.2.   เน้นกระบวนการคิดเป็น ทำเป็น และแก้ปัญหาได้
                          6.3.   เรียนรู้จากประสบการณ์จริง มีความใฝ่รู้
                          6.4.   การเรียนรู้แบบบูรณาการ ปลูกฝังคุณธรรม ค่านิยมที่ดีงาม  
                          6.5.  จัดบรรยากาศ สภาพแวดล้อม  สื่อการเรียน  ผู้เรียนและผู้สอน เรียนรู้ร่วมกันจากสื่อการเรียนการสอน
                          6.6.  การเรียนรู้เกิดขึ้นได้ทุกเวลา ทุกสถานที่
                   จากหลักการทั้ง 6 ประการที่วิเคราะห์จากพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ ฉบับ พ.ศ. 2542 ได้นำมาศึกษาทั้ง 6 ประเด็นที่ถือเป็นเป้าหมาย ดังนั้นการเรียนการสอนให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ดังกล่าว จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง และหลักการที่จะนำมาใช้ คือ หลัก Project Approach
                        Project  Approach    เป็นรูปแบบการเรียนการสอน ที่เน้นการปฏิบัติจริง  ถือหลักการเรียนรู้ด้วยการกระทำ (Learning by doing)   คำว่า Project   เป็นงานที่ผู้เรียนต้องทำ    ต้องปฏิบัติเพื่อการเรียนรู้ เป็นกิจกรรมที่ต้องทำเพื่อบรรลุจุดประสงค์ เป็นผลงานออกมาในรูปแบบต่างๆ ตามที่กำหนดและข้อตกลงร่วมกัน ระหว่างผู้เรียนกับผู้สอน ผลงานที่ปรากฏออกมาอาจเป็น
                        1.  ทำหรือสร้างสิ่งสำเร็จรูป  เช่น  โต๊ะ เก้าอี้  คอกเลี้ยงสัตว์  สนามกีฬา
                        2.  กิจกรรมเพื่อนันทนาการ เช่น  จัดแสดงละคร ดนตรี การเดินทางไปทัศนศึกษา
                        3.  โครงการเพื่อแก้ปัญหา เช่น  วางโครงการและดำเนินงานแก้ปัญหาเกี่ยวกับความสะอาด ความปลอดภัยในการเดินทาง การดูแลรักษาต้นไม้
                        4.  โครงการเกี่ยวกับการฝึกทักษะ เช่น โครงการฝึกทักษะทางการพูดการเขียน การโฆษณา เป็นต้น
                   กิจกรรมต่าง ๆ เหล่านี้ นักเรียนจะต้องเป็นผู้กระทำด้วยตนเอง  เริ่มตั้งแต่วางแผนการทำงานการศึกษาหาข้อมูล ความรู้ เพื่อประกอบการทำงานที่ต้องการ  จนกระทั่งทำงานสำเร็จเรียบร้อย   เป็นผลออกมาตามแผนและจุดประสงค์ที่กำหนด  จึงถือว่าสำเร็จตามโครงการหรือ Project
ทฤษฎีและแนวทางการวัดผลประเมินผล
                        มาตรา 26 ในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 ได้กำหนดการประเมินผลการเรียนรู้ โดยพิจารณาจากพัฒนาการของผู้เรียน  ความประพฤติ  สังเกตพฤติกรรมการเรียน  การร่วมกิจกรรม และการทดสอบควบคู่กันไปในกระบวนการเรียนการสอน  ตามความเหมาะสมของแต่ละระดับ  และรูปแบบการศึกษา  ขณะที่ มาลินี จุฑะรพ (2539) ได้กล่าวว่า "ผลของการเรียนรู้ จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนพฤติกรรมใน 3 ด้าน  คือ  ด้านความรู้  ด้านทักษะ และด้านความรู้สึก   ดังนั้น ในการวัดผลการเรียนรู้    จึงควรวัดผลการเปลี่ยนแปลงใน 3 ด้าน โดยใช้เครื่องมือในการวัดผล แตกต่างกันไป ตามระดับการศึกษา และรูปแบบการศึกษาที่จัด เช่น ในห้องสมุดประชาชนที่สนับสนุนการศึกษาทั้งการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ การศึกษาตามอัธยาศัย   ควรจะต้องมีเครื่องมือในการวัดผลการเรียนรู้แต่ละรูปแบบ   การศึกษาที่แตกต่างกันไป ในการจัดการศึกษาไม่ว่าจะเป็นการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบหรือการศึกษาตามอัธยาศัย ย่อมต้องมีการวัดผลประเมินผล  ซึ่งเครื่องมือในการวัดผลมี 2 ประเภท คือ
                        1.  ประเภทแบบสอบต่าง ๆ  เช่น  แบบสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ใช้วัดพฤติกรรมด้านความรู้  ความคิด   ซึ่งมีทั้งแบบสอบอัตนัย    แบบเขียนตอบ    แบบปรนัย    แบบเลือกตอบ   แบบถูก-ผิด    แบบจับคู่  แบบหลายตัวเลือก  เป็นต้น
                        2.  ประเภทไม่ใช่แบบสอบ     เป็นเครื่องมือในการวัดผลการเรียนรู้ในชีวิตประจำวัน    เช่น     การซักถาม  การสังเกตพฤติกรรม  การรับฟังความคิดเห็น  ซึ่งการวัดผลโดยไม่ใช้แบบสอบ จะใช้เทคนิคการสังเกตเป็นหลัก  หรือใช้แบบตรวจสอบรายการ  แบบมาตราประเมินค่า  แบบบันทึกพฤติกรรม 
                        การวัดผล  เป็นกิจกรรมประจำวันของมนุษย์ตั้งแต่เกิดจนตาย   เช่น  การวัดน้ำหนัก ส่วนสูง  การวัดว่าได้เวลาของการซื้อเสื้อผ้าใหม่  ซื้อข้าวของเครื่องใช้ใหม่  เป็นต้น    การวัดผล เป็นกระบวนการกำหนดตัวเลขให้แก่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง อาจจะเป็นวัตถุ สิ่งของ หรือบุคคลก็ได้ (ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ2539)
                        การวัดผลมีวิธีการวัด 2 อย่าง  คือ
                        1.  การวัดผลทางตรง หมายถึง ความสามารถในการวัดสิ่งนั้นๆ ได้โดยตรง สิ่งที่ต้องการวัดมีรูปธรรม เช่น วัดความยาว วัดน้ำหนักของหมู การวัดแบบนี้เป็นการวัดด้านกายภาพ สามารถใช้เครื่องมือวัดที่เป็นมาตรฐานสากล มีความแม่นยำเที่ยงตรง
                        2.  การวัดผลทางอ้อม หมายถึง การวัดคุณลักษณะหนึ่งโดยอาศัยการวัดจากอีก สิ่งหนึ่ง เช่น วัดผลการเรียน วัดเชาวน์ปัญญา วัดเจตคติ วัดความกังวลใจ ฯลฯ  คุณลักษณะเหล่านี้ใช้เครื่องมือทาบวัดโดยตรงไม่ได้  ต้องผ่านกระบวนการทางสมองเสมอ  ผลการวัดที่ได้ จึงเป็นผลจากการผ่านกระบวนการทางสมองชั้นหนึ่งก่อน ซึ่งอาจจะมีความคลาดเคลื่อนได้ 
                       การประเมินผล   เป็นกระบวนการพิจารณาตัดสินที่เป็นระบบ    ที่ครอบคลุม ถึงจุดมุ่งหมาย     ที่ตั้งไว้  นั่นคือประเมินดูว่ากิจกรรมที่ทำทั้งหลายเป็นไปตามจุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้เพียงใดในการประเมินผลอาจทำได้หลายลักษณะ  เช่น
                                2.1   ใช้ปริมาณจากการวัดมาพิจารณาตัดสินด้วยคุณธรรมแล้วสรุป 
                              2.2   ไม่ต้องใช้ตัวเลขจากการวัดแต่หาข้อมูลด้านอื่นมาประกอบการพิจารณาตัดสิน เช่น ประวัติ   ระเบียนสะสม  เป็นต้น   นั่นหมายถึงว่า   การประเมินใช้ข้อมูลของการวัดผล มาพิจารณาตัดสิน การวัดผลที่ดีจึงเป็นฐานของการประเมินผลที่ดี    และการประเมินผลที่ดี เป็นเรื่องของการใช้เหตุผลเป็นฐานในการพิจารณาด้วยว่า  อะไรเหมาะ  อะไรดี   อะไรควร   เป็นต้น  (ล้วน สายยศ และ อังคณา สายยศ2539)
                        การวัดผลการเรียนรู้ที่ดี   จะต้องวัดได้ครอบคลุมในสิ่งที่ต้องการวัด และมั่นใจว่าสามารถวัด    สิ่งนั้นได้แน่นอนด้วย การวัดผลที่ครอบคลุม  ควรวัดให้ครอบคลุมทั้ง 3  ด้านคือ
                        1.  ด้านสติปัญญา  ( พุทธิพิสัย )   เป็นการวัดความรู้  ความคิด  และการนำความรู้ไปประยุกต์ พฤติกรรมที่ใช้วัดด้านนี้ คือ
                            1.1  ความจำ หมายถึง ความสามารถของสมองในการที่จะเก็บสะสมความรู้หรือข้อเท็จจริงที่ได้ประสบพบเห็นมาให้คงอยู่ได้  การแสดงออกที่บ่งบอกว่าจำได้ เช่น บอกสูตรหรือเขียนสูตร ที่ครูเคยสอนมาแล้ว
                                1.2  ความเข้าใจ  หมายถึง   ความสามารถในการแปลความ   ตีความ  และ  ขยายความสถานการณ์นั้นได้ สมรรถภาพนี้สูงกว่า ความรู้ ความจำ  การแสดงออกที่บ่งบอกว่ามีความเข้าใจ ได้แก่
                                        1.2.1   อธิบายข้อความที่ยากให้เป็นภาษาง่าย ๆ 
                                    1.2.2   เปรียบเทียบลักษณะของสิ่งหนึ่งกับอีกสิ่งหนึ่ง
                                1.3  การนำไปใช้  หมายถึง  ความสามารถในการแก้ปัญหา โดยการนำประสบการณ์หนึ่งไปใช้ในอีกประสบการณ์หนึ่งได้   สมรรถภาพนี้สูงกว่าความเข้าใจ   คือต้องเข้าใจก่อนจึงจะแก้ปัญหาได้ การแสดงออกที่บ่งบอกว่านำไปใช้ได้   เช่น
                                        1.3.1  โจทย์ที่ไม่เคยทำมาก่อน
                                        1.3.2  ทดลองในสิ่งที่ใช้อย่างหนึ่งทดแทน  เช่น   ใช้น้ำมะนาวแทนน้ำกรด
                                1.4  การวิเคราะห์  หมายถึง  ความสามารถในการแยกแยะดูว่าสิ่งนั้น ประกอบด้วยอะไร การเกิดสิ่งนั้นขึ้นอาศัยเหตุผลใด  สามารถจำแนกได้ว่าสิ่งใดสำคัญมาก  สิ่งใดมีความสัมพันธ์กัน และเกิดปรากฏการณ์นั้น ๆ ขึ้น อาศัยหลักการใด  การแสดงออกที่แสดงถึงการวิเคราะห์  เช่น     
                                        1.4.1  เลือกรับประทานอาหาร 4 - 5 ชนิด  ที่มีรสชาติและราคาที่พอ ๆ กัน  แต่เลือก
รับประทานชนิดที่ดีที่สุด
                                  1.4.2   ทราบสาเหตุของไฟฟ้าช็อต
                          1.5  การสังเคราะห์ หมายถึง ความสามารถในการรวมส่วนย่อยต่างๆตั้งแต่สองส่วนขึ้นไปเข้าด้วยกัน   แล้วเปลี่ยนเป็นสิ่งใหม่ที่มีคุณภาพแปลกและแตกต่างออกไป   ส่วนย่อยดังกล่าว อาจจะเป็นเหตุการณ์ สถานการณ์ ข้อเท็จจริง ความคิดเห็นใด ๆ ก็ได้   การสังเคราะห์ ก็คือความคิดริเริ่มสร้างสรรค์นั่นเอง  การแสดงออกที่แสดงถึง การสังเคราะห์  เช่น
                                       1.5.1    เขียนกลอนได้
                                  1.5.2    แต่งเรื่องใหม่เป็น
                                  1.5.3   วางแผนการแข่งขันฟุตบอลเพื่อหารายได้ได้
                            1.6  การประเมินค่า หมายถึง ความสามารถในการตีราคาของสิ่งนั้นว่า ดี- เลว   ชอบ-ไม่ชอบ ควร-ไม่ควร เหมาะสม-ไม่เหมาะสมอย่างไร โดยอาศัยเหตุผลประกอบด้วย ซึ่งหากไม่มีเกณฑ์ไม่ใช่การประเมิน เป็นความคิดเห็นลอย ๆ การแสดงออกที่แสดงถึงการประเมินค่า เช่น 4
                                  1.6.1  พิจารณาตัดสินว่าที่เพื่อนเล่าเรื่องราวให้ฟังนั้น ควรเชื่อหรือไม่ 
                                  1.6.2  พิจารณาตัดสินใจเลือกอ่านหนังสือที่เหมาะสมกับวัย
                        2.  ด้านความรู้สึก (เจตพิสัย)  เป็นการวัดเกี่ยวกับความรู้สึก  อารมณ์และทัศนคติ  เป็นการวัดสภาพการเปลี่ยนแปลงของจิตใจ  เมื่อมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดมากระทบแล้วเกิดการรับรู้  เกิดความสนใจ  อยากจะเกี่ยวข้องด้วย จนรู้คุณค่าทั้งทางดีและไม่ดี    การวัดด้านนี้  จะเริ่มจากการรับ  การสนองตอบ   การรู้คุณค่า การจัดระบบคุณค่าและการสร้างลักษณะนิสัย   
                        ทัศนคติ หมายถึง ความเชื่อศรัทธาหรือเลื่อมใสในสิ่งหนึ่งสิ่งใด  จนเกิดความพร้อมในจิตใจ  สามารถประพฤติปฏิบัติตามได้   การแสดงออก   การทำงานมากกว่าที่กำหนด
                        3.  ด้านทักษะกลไก (ทักษะพิสัย)  เป็นการวัดเกี่ยวกับทักษะในการใช้ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย การประสานงานของการใช้อวัยวะต่าง ๆ ตลอดจนการใช้ เครื่องมือต่าง ๆ เช่น  การเขียน การอ่าน การพูด การวิ่ง การกระโดด การว่ายน้ำ การใช้ เครื่องคอมพิวเตอร์ การใช้เครื่อง คิดเลข เป็นต้น
                        ทักษะ  หมายถึง  ความสามารถในการที่จะทำงาน  ได้แคล่วคล่อง ว่องไว   โดยไม่มีผิด  หรือคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริงในสิ่งนั้น  การแสดงออก - บวก ลบ คูณ หารได้รวดเร็ว   ถูกต้อง - พิมพ์รายงานได้รวดเร็วถูกต้อง
                        ดังที่กล่าวแล้วว่า    การศึกษาค้นคว้าในห้องสมุดนั้น    เป็นการศึกษาค้นคว้าที่เปิดกว้างตามความสนใจ     ความต้องการของผู้ใช้บริการห้องสมุด  และการที่จะวัดการเรียนรู้ของผู้ใช้บริการที่มีความหลากหลายนั้นอาจทำได้ยาก  สิ่งที่บรรณารักษ์จะสามารถกระทำได้คือ  กระตุ้นให้มีการบันทึกการเรียนรู้ของผู้ใช้  เพื่อนำไปสู่การวัดผลการเรียนรู้  ซึ่งอาจจะเป็นหน่วยงานอื่น ที่ทำหน้าที่ในการวัดผลการเรียนรู้ ในกรณีนี้จะใช้กับผู้เรียนที่มีความต้องการจะนำผลการศึกษาด้วยตัวเองไปใช้ ประโยชน์ในการเทียบโอน ตามที่พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ  พ.ศ. 2542   ที่ได้เปิดทางในเรื่องการเทียบโอนไว้ให้     แต่หากผู้ใช้บริการไม่มีความต้องการที่จะนำความรู้ไปเทียบโอน เขาก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องบันทึกการเรียนรู้ เพราะเขาอาจจะต้องการเรียนรู้เพื่อนำไปใช้ในการพัฒนาคุณภาพชีวิต หรือใช้ชีวิตประจำวันในด้านอื่น ๆ ก็เป็นได้
                        กระบวนการวัดผลประเมินผล  เป็นกระบวนการที่เกิดภายหลังจากกระบวนการเรียนรู้ที่ผู้เรียนได้สร้างความรู้แล้ว หรืออาจประเมินในระหว่างการเรียนการสอนที่ผู้เรียนกำลังสร้างความรู้ให้กับตนเองก็ได้   ดังนั้นการวัดผลประเมินผลด้วยทางเลือกใหม่  จึงมีจุดเน้นในการประเมิน  ตามลักษณะดังนี้
                   1.  ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการกำหนดเป้าหมายการเรียนรู้ และเกณฑ์การตัดสิน
                        2.  ผู้เรียนมีการแสดงจัดทำผลงาน ซึ่งเป็นหลักฐานสำหรับการประเมิน
                        3.  ผู้เรียนใช้ทักษะขั้นสูง ในการเรียน การปฏิบัติงาน
                        4.  ผู้เรียนถูกประเมินด้านทักษะการเรียนแบบร่วมมือ
                        5.  การให้คะแนนอิงผลงานที่แจ้งให้ทราบล่วงหน้า และมีเกณฑ์การตัดสินที่แน่นอน
 องค์ประกอบและจุดเน้นของวิธีการวัดผลประเมินผลด้วยทางเลือกใหม่
                   วิธีการวัดผลประเมินผลด้วยทางเลือกใหม่    มีองค์ประกอบสำคัญอยู่ 2 ส่วน คือ การวัดและประเมินผลที่ครอบคลุมเรื่องเกี่ยวกับการวัดผลประเมินผลที่ใช้วิธีการปฏิบัติ (Performance Assessment) และการวัดผลประเมินผลตามสภาพจริง (Authentic Assessment) (กรมวิชาการ2546)
                        การวัดผลประเมินผลด้วยวิธีปฏิบัติ    คือ   การวัดและประเมินความรู้   ความสามารถในการปฏิบัติงานของผู้เรียนภายใต้สภาพการณ์และเงื่อนไขที่สอดคล้องกับสภาพจริง โดยพิจารณาจากกระบวนการทำงานและคุณภาพของงาน โดยใช้เกณฑ์ประเมินที่สร้างขึ้นจากมิติความสำคัญ (Rubric) ของคุณลักษณะด้านต่าง ๆ ของผลงานนั้น
                        การวัดผลประเมินผลตามสภาพจริง คือ  กระบวนการตัดสินความรู้ความสามารถ และทักษะต่าง ๆ ของผู้เรียน  ในสภาพที่สอดคล้องกับชีวิตจริง   เป็นสิ่งเร้าให้ผู้เรียนตอบสนอง   โดยการแสดงออก
                        การจัดการศึกษาตามแนวพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ   พุทธศักราช 2542    มาตรา 26 กำหนดให้สถานศึกษาจัดการประเมินผู้เรียน     โดยพิจารณาจากพัฒนาการของผู้เรียน       ความประพฤติ การสังเกตพฤติกรรมการเรียน   การร่วมกิจกรรมและการทดสอบควบคู่ไปในกระบวนการเรียนการสอนตามความเหมาะสมของแต่ละระดับและรูปแบบการศึกษา
จิตวิทยาด้านการเรียนการสอน
                        มาสโลว (Maslow) อธิบายลําดับขั้นความจําเปนของมนุษยา ถาคนมีความจําเปนในการทําสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็จะทําใหเกิดแรงจูงใจในการทําสิ่งตาง ๆ ได   แรงจูงใจในการเรียนรูภาษาตางประเทศควรเกิดจากความตองการพื้นฐานและความสนใจของนักเรียนเอง  ริเวอร (River: 1983) กลาววา นักเรียนตองการความรูสึกมั่นคง ความรูสึกปลอดภัย  และการมีอิสระ  จึงสรางชุดการสอนที่จะสนับสนุนใหนักเรียนไดอยูในบรรยากาศการเรียนตามวิธีการ  ของทฤษฎีการเรียนรูภาษาแบบธรรมชาติ   (Krashen & Terrell, 1983, pp. 58-59)  ดังรายละเอียด ตอไปนี้

                        1. แผนการสอนที่เตรียมตองใหมีการเรียนแบบการรับรูทางภาษา
                        2. ครูตองพยายามใชภาษาอังกฤษกับนักเรียนใหมากที่สุด โดยจะแกไขขอบกพรองทางภาษาทางด้านการสื่อสารเทาที่จําเปนเทานั้น
                        3. การแกไขคําผิด หรือไวยากรณางๆจะแกไขโดยการใหทําแบบฝกหัดเขียน
                        4. จุดประสงคของการเขียนแผนการสอนของชุดการสอนนี้นี้คือใหนักเรียนทํากิจกรรม        ที่มีความหมายตอการเรียนรู
                       โรเบิร์ต กาเย่ (Robert Gange'') ได้นำเอาแนวความคิด 9 ประการ มาใช้ประกอบการออกแบบบทเรียนคอมพิวเตอร์ เพื่อให้ได้บทเรียนที่เกิดจากการออกแบบในลักษณะการเรียนการสอนจริง    โดยยึดหลักการนำเสนอเนื้อหาและจัดกิจกรรมการเรียนรู้จากการมีปฏิสัมพันธ์ หลักการสอนทั้ง 9 ประการได้แก่
        1.   เร่งเร้าความสนใจ (Gain Attention) 
      2.   บอกวัตถุประสงค์ (Specify Objective) 
      3.   ทบทวนความรู้เดิม (Activate Prior Knowledge) 
      4.   นำเสนอเนื้อหาใหม่ (Present New Information) 
      5.   ชี้แนะแนวทางการเรียนรู้ (Guide Learning) 
      6.   กระตุ้นการตอบสนองบทเรียน (Elicit Response) 
      7.   ให้ข้อมูลย้อนกลับ (Provide Feedback) 
      8.   ทดสอบความรู้ใหม่ (Assess Performance) 
      9.  สรุปและนำไปใช้ (Review and Transfer)
                        1.  เร่งเร้าความสนใจ   (Gain  Attention)   ก่อนที่จะเริ่มการนำเสนอเนื้อหา บทเรียน   ควรมีการจูงใจ และเร่งเร้าความสนใจให้ผู้เรียนอยากเรียน  ดังนั้น  บทเรียนคอมพิวเตอร์  จึงควรเริ่มด้วยการใช้ภาพ แสง สี เสียง  หรือ ใช้สื่อประกอบกันหลาย ๆ อย่าง  โดยสื่อที่สร้างขึ้นมานั้นต้องเกี่ยวข้องกับเนื้อหาและน่าสนใจซึ่งจะมีผลโดยตรงต่อความสนใจของผู้เรียนนอกจากเร่งเร้าความสนใจแล้วยังเป็นการเตรียมความพร้อมให้ผู้เรียนพร้อมที่จะศึกษาเนื้อหาต่อไป
                        2.  บอกวัตถุประสงค์ (Specify Objective)  วัตถุประสงค์ของบทเรียน   นับว่าเป็นส่วนสำคัญยิ่งต่อกระบวนการเรียนรู้ ที่ผู้เรียนจะได้ทราบถึงความคาดหวังของบทเรียนจากผู้เรียน  นอกจากผู้เรียนจะทราบถึงพฤติกรรมขั้นสุดท้ายของตนเองหลังจบบทเรียนแล้ว ยังเป็นการแจ้งให้ทราบล่วงหน้าถึงประเด็นสำคัญของเนื้อหา รวมทั้งเค้าโครงของเนื้อหาอีกด้วย การที่ผู้เรียนทราบถึงขอบเขตของเนื้อหาอย่างคร่าวๆจะช่วยให้ผู้เรียนสามารถผสมผสานแนวความคิด    ในรายละเอียดหรือส่วนย่อยของเนื้อหา ให้สอดคล้องและสัมพันธ์กับเนื้อหาส่วนใหญ่ได้  ซึ่งมีผลทำให้การเรียนรู้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังพบด้วยว่า ผู้เรียนที่ทราบวัตถุประสงค์ของการเรียนก่อนเรียนบทเรียนจะสามารถจำและเข้าใจในเนื้อหาได้ดีขึ้นด้วย
                        3.  ทบทวนความรู้เดิม   ( Activate  Prior  Knowledge )    การทบทวนความรู้เดิม   ก่อนที่จะนำเสนอความรู้ใหม่แก่ผู้เรียน  มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องหาวิธีการประเมิน    ความรู้ที่จำเป็นสำหรับบทเรียนใหม่ เพื่อไม่ให้ผู้เรียนเกิดปัญหาในการเรียนรู้   วิธีปฏิบัติโดยทั่วไป สำหรับบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน  ก็คือ   การทดสอบก่อนบทเรียน (Pre-test)   ซึ่งเป็นการประเมินความรู้ของผู้เรียน  เพื่อทบทวนเนื้อหาเดิมที่เคยศึกษาผ่านมาแล้ว   และเพื่อเตรียมความพร้อมในการรับเนื้อหาใหม่    นอกจากจะเป็นการตรวจวัดความรู้พื้นฐานแล้ว     บทเรียนบางเรื่องอาจใช้ผลจากการทดสอบก่อนบทเรียน   มาเป็นเกณฑ์จัดระดับความสามารถของผู้เรียน  เพื่อจัดบทเรียนให้ตอบสนองต่อระดับความสามารถของผู้เรียน     เพื่อจัดบทเรียนให้ตอบสนองต่อระดับความสามารถที่แท้จริงของผู้เรียนแต่ละคน     แต่อย่างไรก็ตาม  ในขั้นการทบทวนความรู้เดิมนี้    ไม่จำเป็นต้องเป็นการทดสอบเสมอไป    หากเป็นบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่สร้างขึ้น  เป็นชุดบทเรียนที่เรียนต่อเนื่องกันไปตามลำดับ     การทบทวนความรู้เดิมอาจอยู่ในรูปแบบของการกระตุ้นให้ผู้เรียนคิดย้อนหลังถึงสิ่งที่ได้เรียนรู้มาก่อนหน้านี้ก็ได้     การกระตุ้นดังกล่าวอาจแสดงด้วยคำพูด คำเขียน ภาพหรือผสมผสานกันแล้วแต่ความเหมาะสม ปริมาณมากน้อยเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับเนื้อหา ตัวอย่างเช่น   การนำเสนอเนื้อหาเรื่องการต่อตัวต้านทานแบบผสม    ถ้าผู้เรียนไม่สามารถเข้าใจวิธีการหาความต้านทานรวม  กรณีนี้ควรจะมีวิธีการวัดความรู้เดิมของผู้เรียนก่อนว่า มีความเข้าใจเพียงพอที่จะคำนวณ
หาค่าต่างๆ ในแบบผสมหรือไม่  ซึ่งจำเป็นต้องมีการทดสอบก่อน ถ้าพบว่าผู้เรียนไม่เข้าใจวิธีการคำนวณ บทเรียน ต้องชี้แนะให้ผู้เรียนกลับไปศึกษาเรื่องการต่อตัวต้านทานแบบอนุกรมและแบบขนานก่อน หรืออาจนำเสนอบทเรียนย่อยเพิ่มเติมเรื่องดังกล่าว เพื่อเป็นการทบทวนก่อนก็ได้
                        4.  นำเสนอเนื้อหาใหม่   (Present  New  Information)  หลักสำคัญในการนำเสนอเนื้อหาของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ก็คือ  ควรนำเสนอภาพที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา  ประกอบกับคำอธิบายสั้น ๆ ง่ายแต่ได้ใจความ การใช้ภาพประกอบ จะทำให้ผู้เรียนเข้าใจเนื้อหาง่ายขึ้นและมีความคงทนในการจำได้ดีกว่าการใช้คำอธิบายเพียงอย่างเดียว    โดยหลักการที่ว่าภาพจะช่วยอธิบายสิ่งที่เป็นนามธรรม ให้ง่ายต่อการรับรู้   แม้ในเนื้อหาบางช่วงจะมีความยากในการที่จะคิดสร้างภาพประกอบ   แต่ก็ควรพิจารณาวิธีการต่างๆ ที่จะนำเสนอด้วยภาพให้ได้  แม้จะมีจำนวนน้อย  แต่ก็ยังดีกว่าคำอธิบายเพียงคำเดียว  อย่างไรก็ตามการใช้ภาพประกอบเนื้อหาอาจไม่ได้ผลเท่าที่ควรหากภาพเหล่านั้นมีรายละเอียดมากเกินไปใช้เวลามากไปในการปรากฏบนจอภาพ   ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาซับซ้อน  เข้าใจยาก  และไม่เหมาะสม    ในเรื่องเทคนิคการออกแบบ  เช่น  ขาดความสมดุลองค์ประกอบภาพไม่ดี เป็นต้น
                        5.  ชี้แนะแนวทางการเรียนรู้   ( Guide  Learning )    ตามหลักการและเงื่อนไข     การเรียนรู้ (Condition of Learning)  ผู้เรียนจะจำเนื้อหาได้ดี  หากมีการจัดระบบการเสนอเนื้อหาที่ดีและสัมพันธ์กับประสบการณ์เดิมหรือความรู้เดิมของผู้เรียน บางทฤษฎีกล่าวไว้ว่า การเรียนรู้ที่กระจ่างชัด (Meaning full Learning) นั้น ทางเดียวที่จะเกิดขึ้นได้ก็คือการที่ผู้เรียนวิเคราะห์ และตีความในเนื้อหาใหม่ลงบนพื้นฐานของความรู้และประสบการณ์เดิมรวมกันเกิดเป็นองค์ความรู้ใหม่   ดังนั้น  หน้าที่ของผู้ออกแบบคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ในขั้นนี้ก็คือ พยายามค้นหาเทคนิคในการที่จะกระตุ้นให้ผู้เรียนนำความรู้เดิมมาใช้ในการศึกษาความรู้ใหม่    นอกจากนั้นยังจะต้องพยายามหาวิถีทาง    ที่จะทำให้การศึกษาความรู้ใหม่ของผู้เรียนนั้นมีความกระจ่างชัดเท่าที่จะทำได้  เป็นต้นว่า   การใช้เทคนิคต่าง ๆ เข้าช่วย   ได้แก่   เทคนิคการให้ตัวอย่าง (Example)  และตัวอย่างที่ไม่ใช่ตัวอย่าง  (Non-example)  อาจจะช่วยทำให้ผู้เรียนแยกแยะความแตกต่างและเข้าใจมโนคติของเนื้อหาต่าง ๆ ได้ชัดเจนขึ้น
                        ผู้ออกแบบชุดการสอนอาจใช้วิธีการค้นพบ (Guided Discovery) ซึ่งหมายถึง การพยายามให้ผู้เรียนคิดหาเหตุผล ค้นคว้าและวิเคราะห์หาคำตอบด้วยตนเอง โดยบทเรียนจะค่อยๆ ชี้แนะ จากจุดกว้างๆ และแคบลง ๆ จนผู้เรียนหาคำตอบได้เอง   นอกจากนั้น   การใช้คำอธิบายกระตุ้น ให้ผู้เรียนได้คิด   ก็เป็นเทคนิคอีกประการหนึ่งที่สามารถนำไปใช้ในการชี้แนวทางการเรียนรู้ได้  สรุปแล้วในขั้นตอนนี้ผู้ออกแบบจะต้องยึดหลักการจัดการเรียนรู้จากสิ่งที่มีประสบการณ์เดิมไปสู่เนื้อหาใหม่จากสิ่งที่ยากไปสู่สิ่งที่ง่ายกว่า ตามลำดับขั้น
                        6.  กระตุ้นการตอบสนองบทเรียน  (Elicit  Response)  นักการศึกษากล่าวว่า   การเรียนรู้จะมีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใดนั้น เกี่ยวข้องโดยตรงกับระดับและขั้นตอนของการประมวลผลข้อมูล หากผู้เรียนได้มีโอกาสร่วมคิด ร่วมกิจกรรมในส่วนที่เกี่ยวกับเนื้อหาและร่วมตอบคำถามจะส่งผลให้มีความจำดีกว่าผู้เรียนที่ใช้วิธีอ่านหรือคัดลอกข้อความจากผู้อื่นเพียงอย่างเดียว
                        7.  ให้ข้อมูลย้อนกลับ (Provide Feedback)  การวิจัยพบว่า   บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนจะกระตุ้นความสนใจจากผู้เรียนได้มากขึ้น   ถ้าบทเรียนนั้นท้าทาย   โดยการบอกเป้าหมายที่ชัดเจน และแจ้งให้ผู้เรียนทราบว่าขณะนั้นผู้เรียนอยู่ที่ส่วนใด   ห่างจากเป้าหมายเท่าใด     การให้ข้อมูลย้อนกลับดังกล่าว ถ้านำเสนอด้วยภาพ  จะช่วยเร่งเร้าความสนใจได้ดียิ่งขึ้น     โดยเฉพาะถ้าภาพนั้นเกี่ยวกับเนื้อหาที่เรียน อย่างไรก็ตามการให้ข้อมูลย้อนกลับด้วยภาพหรือกราฟิกอาจมีผลเสียอยู่บ้างตรงที่ผู้เรียนอาจต้องการดูผล ว่าหากทำผิด แล้วจะเกิดอะไรขึ้น ตัวอย่างเช่น  บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนแบบเกมการสอนแบบแขวนคอสำหรับการสอนคำศัพท์ภาษาอังกฤษ  ผู้เรียนอาจตอบโดยการกดแป้นพิมพ์ไปเรื่อยๆ โดยไม่สนใจเนื้อหา เนื่องจากต้องการดูผลจากการแขวนคอ   วิธีหลีกเลี่ยง ก็คือ  เปลี่ยนจากการนำเสนอภาพ ในทางบวก เช่น ภาพเล่นเรือเข้าหาฝั่ง ภาพขับยานสู่ดวงจันทร์  ภาพหนูเดินไปกินเนยแข็ง เป็นต้น  ซึ่งจะไปถึงจุดหมายได้ด้วยการตอบถูกเท่านั้น หากตอบผิดจะไม่เกิดอะไรขึ้น อย่างไรก็ตามถ้าเป็นบทเรียนที่ใช้กับกลุ่มเป้าหมายระดับสูงหรือเนื้อหาที่มีความยาก  การให้ข้อมูลย้อนกลับด้วยคำเขียนหรือกราฟจะเหมาะสมกว่า
                        8.  ทดสอบความรู้ใหม่ (Assess Performance) การทดสอบความรู้ใหม่หลังจากศึกษาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเรียกว่าการทดสอบหลังบทเรียน (Post-test)   เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ทดสอบความรู้ของตนเอง  นอกจากนี้จะยังเป็นการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนว่าผ่านเกณฑ์ที่กำหนดหรือไม่ เพื่อ ที่จะไปศึกษาในบทเรียนต่อไปหรือต้องกลับไปศึกษาเนื้อหาใหม่ การทดสอบหลังบทเรียนจึงมีความจำเป็นสำหรับบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนทุกประเภท     นอกจากจะเป็นการประเมินผลการเรียนรู้แล้ว  การทดสอบยังมีผลต่อความคงทนในการจดจำเนื้อหาของผู้เรียนด้วย แบบทดสอบจึงควรถามแบบเรียงลำดับตามวัตถุประสงค์ของบทเรียน     ถ้าบทเรียนมีหลายหัวเรื่องย่อย    อาจแยกแบบทดสอบออกเป็นส่วน  ๆ ตามเนื้อหา   โดยมีแบบทดสอบรวมหลังบทเรียนอีกชุดหนึ่งก็ได้     ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าผู้ออกแบบบทเรียนต้องการแบบใด
                        9.  สรุปและนำไปใช้ (Review and Transfer)   การสรุปและนำไปใช้  จัดว่าเป็นส่วนสำคัญในขั้นตอนสุดท้ายที่บทเรียนจะต้องสรุปมโนคติของเนื้อหาเฉพาะประเด็นสำคัญๆ รวมทั้งข้อเสนอแนะต่างๆ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีโอกาสทบทวนความรู้ของตนเองหลังจากศึกษาเนื้อหาผ่านมาแล้ว   ในขณะ
เดียวกัน  บทเรียนต้องชี้แนะเนื้อหาที่เกี่ยวข้องหรือให้ข้อมูลอ้างอิงเพิ่มเติม เพื่อแนะแนวทางให้ผู้เรียนได้ศึกษาต่อในบทเรียนถัดไป หรือนำไปประยุกต์ใช้กับงาน
การจะสอนให้ดีนั้นต้อง
                        1.  มีจิตใจพร้อมที่จะสอน
                                1.1   ต้องรู้ว่าการสอนเป็นกิจกรรมที่เกิดประโยชน์ที่สุดอย่างหนึ่งเพราะช่วยย่นระยะเวลาการศึกษาของผู้เรียนได้อย่างมาก  เช่น  ถ้าศึกษาด้วยการอ่านเองถ้าใช้เวลา 4 ชั่วโมง  ผู้สอนเก่ง ๆ สามารถให้ความรู้ที่เท่ากันหรือมากกว่าในเวลาแค่ 2 ชั่วโมงได้ ดังนั้นนับเป็นการเกิดประโยชน์โดยเฉพาะการสอนเป็นกลุ่มละหลาย ๆ คน  เสียเวลาของผู้สอนคนเดียว   แต่ย่นระยะเวลาของผู้เรียนได้หลาย ๆ คน   เมื่อเห็นประโยชน์เช่นนี้จะทำให้จิตใจเกิดความอยากสอน
                                1.2   มีจิตเมตตาผู้เรียน   อยากให้ผู้เรียนได้ประโยชน์ ได้ความรู้
                                1.3  มีความใจเย็นในการสอน  หากผู้เรียนไม่เข้าใจต้องคิดหาสาเหตุว่าเกิดจากวิธีการสอนไม่เหมาะสมตรงไหน แล้วปรับปรุงให้ถูกจุด ไม่ต้องโมโหที่ผู้เรียนไม่เข้าใจ
                        2.  มีความรู้ในเรื่องที่สอน
                        การจะสอนคนอื่นได้   เราต้องรู้ลึกมากกว่าที่ตั้งใจจะสอนด้วยซ้ำ   ต้องพยายามตั้งคำถามกับตัวเองว่า "ทำไม" อยู่ตลอดเวลา  นั่นจะทำให้การสอนของเราเป็นเหตุเป็นผล  และสามารถตอบผู้เรียนได้ เมื่อผู้เรียนสงสัยว่าทำไมต้องอย่างนั้นอย่างนี้
                        3.  เรียงลำดับเรื่องที่จะพูดให้ดี
                        สำคัญถัดมา วิธีเรียงลำดับสิ่งที่จะพูดนั้นใช้เกณฑ์ว่าเรื่องอะไรที่จำเป็นต้องรู้ก่อนต้องพูดก่อน คำศัพท์คำไหนที่จำเป็นต้องใช้ในการอธิบาย ต้องพูดความหมายของคำนั้น ๆ ให้ชัดเจนก่อน
                         4.  มีเทคนิคการสอน
                        สิ่งสำคัญถัดมา  คือ  เทคนิคการสอน   ซึ่งแบ่งย่อยได้หลากหลายมาก ๆ  แต่ทั้งหมดสามารถ     ใช้สามัญสำนึกในการทำความเข้าใจได้ สิ่งเหล่านี้สามารถพัฒนาได้เมื่อสอนไปนาน ๆ   โดยมีหลัก  ดังนี้
                                4.1   หลักการพูดแต่ละประโยคให้เข้าใจง่าย    คำทุกคำที่ใช้ในประโยค     ต้องเป็นคำที่ผู้เรียนรู้ความหมายอยู่แล้ว (เว้นแต่เป็นคำที่กำลังจะอธิบายความหมาย) ต้องมีจังหวะการพูดทั้งประโยคที่ราบรื่น   เว้นระยะในจุดที่ควรเว้นให้คิด   ระยะเวลาในการเว้น  ยาวไปก็ไม่ดีทำให้ขาดช่วง  สั้นไปก็ไม่ดี ผู้เรียนยังคิดตามไม่ทันก็พูดประโยคใหม่ซะแล้ว การเว้นระยะสั้นยาวขึ้นกับความยากง่ายของประโยคนั้น ให้คะเนเอาเองว่าควรเว้นเท่าไรจึงจะดี
                                4.2   การตรวจดูว่าผู้เรียนเข้าใจหรือไม่  ใช้การมองหน้า อ่านสีหน้าได้ไม่ยากหากผู้เรียนไม่เข้าใจจุดใด จำเป็นต้องหยุด แล้วไปอธิบายขยายความจนเข้าใจ  เพราะคนที่ไม่เข้าใจจุดหนึ่งมักไม่มีใจจะฟังเรื่องต่อ ๆไป
                                4.3   ในการพูดเรื่องที่แบ่งเป็นหัวข้อย่อย ๆ หลาย ๆ ข้อ    ควรพูดทุก ๆ หัวข้อออกมาให้เห็นก่อนว่า เรื่องนี้แบ่งเป็นอะไรบ้างและแต่ละหัวข้อจะกล่าวถึงอะไรคร่าว ๆ  ก่อนที่จะเจาะลึก   และพูดรายละเอียดแต่ละข้อ วิธีนี้นักเรียนจะเห็นภาพรวมของสิ่งที่จะพูดแล้วไม่สับสนว่าเรากำลังพูดถึงส่วนไหนของวิชาอยู่
                                4.4   กรณีที่จะพูดแจกแจงรายการยาว ๆ    ควรเขียนกระดานประกอบ    เพราะผู้เรียนไม่สามารถฟังได้ทันการใช้กระดานนั้นมีข้อดีที่สำคัญกว่าการพูดอยู่อย่างหนึ่งคือสามารถอ่านทวนได้เรื่อย ๆ แต่การพูดนั้น พูดแล้วถ้าฟังไม่ทันก็ผ่านเลยหายไปทันที
                                4.5   เมื่อเราพูดอะไรแล้วมีภาพอยู่ในหัว ให้วาดภาพนั้นออกมาบนกระดานเพราะนักเรียนไม่เห็นภาพอย่างที่เราเห็น
                                4.6   ใช้วิธีตั้งคำถามว่า ทำไม แล้วรอให้คิด   แล้วพูดเฉลย พร้อมอธิบายออกไปจะดีกว่าการบรรยายไปเรื่อย ๆ  วิธีนี้มีประสิทธิภาพมากในการทำให้นักเรียนคิดตาม แทนที่จะฟังไปเรื่อย ๆ

การจัดการเรียนการสอน

                การเรียนการสอนเป็นระบบรายวิชาแต่ละรายวิชากำหนดให้มีเท่ากับจำนวนหน่วยกิต 3 หน่วยกิต ยกเว้นบางรายวิชาที่กำหนดให้มีจำนวนหน่วยกิตแตกต่างไปจากนี้ แต่จะกำหนดเฉพาะรายวิชาที่จำเป็นเท่านั้นการจัดการการศึกษาใช้ระบบการสอนแบบผสมผสาน (Integrated) ประกอบด้วยองค์ประกอบที่สำคัญดังต่อไปนี้

            1)  สื่อ
                 1.1   ) สื่อหลัก ได้แก่วีซีดี (VCD)
                 1.2  ) สื่อรอง ได้แก่ เอกสารประกอบการบรรยาย (Handout) , e-Learning  เทปคาสเซท , VDO on demand,  บทความ,บทสัมภาษณ์, หนังสืออ่านประกอบ  เป็นต้น

2)      กระบวนการเรียนการสอน
2.1) การสอนผ่านสื่อหลักและสื่อรอง
2.2) การสอนผ่าน e-Learning บางหน่วยบางรายวิชา
2.3) การสอน Tutorial
2.4) การฝึกปฏิบัติในห้องทดลองของสถาบันต่างๆ
2.5) การทำ Project
2.6) การดูงานสถานที่จริง เช่นโรงงาน เป็นต้น

3)      ระบบการวัดผล
3.1) การสอบเก็บคะแนนระหว่างภาค
3.2) การสอบ midterm
3.3) การสอบ final
3.4) การสอบซ่อม
3.5) การประเมินผลภาคปฏิบัติและรายงาน

ความหมายขององค์ประกอบของการเรียนการสอน
ความหมายของการเรียนรู้
การเรียนรู้ (Learning) หมายถึง "การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปจากเดิม อันเป็นผลมาจากการได้รับประสบการณ์พฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงในที่นี้ มิได้หมายถึงเฉพาะพฤติกรรมทางกายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงพฤติกรรมทั้งมวลที่มนุษย์แสดงออกมาได้ ซึ่งจะแยกได้เป็น 3 ด้านคือ
1. พฤติกรรมทางสมอง (Cognitive) หรือพุทธิพิสัย เป็นการเรียนรู้เกี่ยวกับข้อเท็จจริง (Fact) ความคิดรวบยอด(Concept) และหลักการ (Principle)
2. พฤติกรรมด้านทักษะ (Psychromotor) หรือทักษะพิสัย เป็นพฤติกรรมทางกล้ามเนื้อ แสดงออกทางด้านร่างกาย เช่น การว่ายน้ำ การขับรถ อ่านออกเสียง แสดงท่าทาง
3.พฤติกรรมทางความรู้สึก (Affective) หรือจิตพิสัย เป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นภายในเช่น การเห็นคุณค่า เจตคติ ความรู้สึกสงสาร เห็นใจเพื่อนมนุษย์ เป็นต้น

นักการศึกษา ได้ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมการเรียนรู้ของ มนุษย์ มีผลการศึกษาที่สอดคล้องกัน สรุปเป็นทฤษฎีการเรียนรู้ที่สำคัญ 2 ทฤษฎีคือ
ทฤษฎีสิ่งเร้าและการตอบสนอง (S-R Theory)
ทฤษฎีสนามความรู้ (Cognitive Field Theory)

http://www.sut.ac.th/tedu/images/blank.gifการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ หมายถึง การจัดกิจกรรมโดยวิธีต่างๆ อย่างหลากหลายที่มุ่งให้ผู้เรียนเกิดการ เรียนรู้อย่างแท้จริงเกิดการพัฒนาตนและสั่งสมคุณลักษณะที่จำเป็นสำหรับการเป็นสมาชิกที่ดีของสังคมของประเทศชาติต่อไป การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่มุ่งพัฒนาผู้เรียน จึงต้องใช้เทคนิควิธีการเรียนรู้รูปแบบการสอนหรือกระบวนการเรียนการสอนใน หลากหลายวิธีซึ่งจำแนกได้ดังนี้ (คณะอนุกรรมการปฏิรูปการเรียนรู้,2543 : 36-37)
http://www.sut.ac.th/tedu/images/blank.gif1. การจัดการเรียนการสอนทางอ้อม ได้แก่ การเรียนรู้แบบสืบค้น แบบค้นพบ แบบแก้ปัญหา แบบ สร้างแผนผังความคิดแบบใช้กรณีศึกษา แบบตั้งคำถามแบบใช้การตัดสินใจ
2http://www.sut.ac.th/tedu/images/blank.gif. เทคนิคการศึกษาเป็นรายบุคคล ได้แก่ วิธีการเรียนแบบศูนย์การเรียน แบบการเรียนรู้ด้วยตนเอง แบบชุดกิจกรรมดารเรียนรู้ คอมพิวเตอร์ช่วยสอน
http://www.sut.ac.th/tedu/images/blank.gif3. เทคนิคการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ ประกอบการเรียน เช่น การใช้สิ่งพิมพ์ ตำราเรียน และแบบฝึกหัดการใช้แหล่งทรัพยากรในชุมชน ศูนย์การเรียนชุดการสอน คอมพิวเตอร์ช่วยสอน บทเรียนสำเร็จรูป
http://www.sut.ac.th/tedu/images/blank.gif4. เทคนิคการจัดการเรียนการสอนแบบเน้นปฏิสัมพันธ์ ประกอบด้วย การโต้วาทีกลุ่ม Buzz การ อภิปราย การระดมพลังสมอง กลุ่มแกปัญหา กลุ่มติวการประชุมต่าง ๆ การแสดงบทบาทสมมติ กลุ่มสืบค้นคู่คิดการฝึกปฏิบัติ เป็นต้น
http://www.sut.ac.th/tedu/images/blank.gif5. เทคนิคการจัดการเรียนการสอนแบบเน้นประสบการณ์ เช่น การจัดการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม เกม กรณีตัวอย่างสถานการณ์จำลองละคร เกม กรณีตัวอย่างสถานการณ์จำลอง ละคร บทบาท สมมติ
http://www.sut.ac.th/tedu/images/blank.gif6. เทคนิคการเรียนแบบร่วมมือ ได้แก่ ปริศนาความคิดร่วมมือแข่งขันหรือกลุ่มสืบค้น กลุ่มเรียนรู้ ร่วมกัน ร่วมกันคิด กลุ่มร่วมมือ
http://www.sut.ac.th/tedu/images/blank.gif7. เทคนิคการเรียนการสอนแบบบูรณาการ ได้แก่ การเรียนการสอนแบบใช้เว้นเล่าเรื่อง (Story line) และการเรียนการสอนแบบ แก้ปัญหา (Problem-Solving)

http://www.sut.ac.th/tedu/images/blank.gifตัวบ่งชี้การเรียนของนักเรียน
1.             นักเรียนมีประสบการณ์ตรงสัมพันธ์กับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
2.             นักเรียนฝึกปฏิบัติจนค้นพบความถนัดและวิธีการของตนเอง
3.             นักเรียนทำกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากกลุ่ม
4.             นักเรียนฝึกคิดอย่างหลากหลายและสร้างสรรค์จินตนาการ ตลอดจนได้แสดงออกอย่างชัดเจนและมีเหตุผล
5.             นักเรียนไดรับการเสริมแรงให้ค้นหาคำตอบแก้ปัยหาทั้งด้วยตนเองและร่วมด้วยช่วยกัน
6.             นักเรียนได้ฝึกค้น รวบรวมข้อมูลและสร้างสรรค์ความรู้ด้วยตนเอง
7.             นักเรียนเลือกทำกิจกรรมตามความสามารถ ความถนัด และความสนใจของตนเองอย่างมีความสุข
8.             นักเรียนฝึกตนเองให้มีวินัยและรับผิดชอบในการทำงาน
9.             นักเรียนฝึกประเมิน ปรับปรุงตนเองและยอมรับผู้อื่น ตลอดจนใฝ่หาความรู้อย่างต่อเนื่อง

http://www.sut.ac.th/tedu/images/blank.gifตัวบ่งชี้การสอนของครู
1.             ครูเตรียมการสอนทั้งเนื้อหา และวิธีการ
2.             ครูจัดสิ่งแวดล้อมและบรรยากาศที่ปลุกเร้าจูงใจและเสริมแรงให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้
3.             ครูเอาใจใส่นักเรียนเป็นรายบุคคล และแสดงความเมตตาต่อนักเรียนอย่างทั่วถึง
4.             ครูจัดกิจกรรมและสถานการณ์ให้นักเรียนได้แสดงออกและคิดอย่างสร้างสรรค์
5.             ครูส่งเสริมให้นักเรียนฝึกคิด ฝึกทำ และฝึกปรับปรุงด้วยตนเอง
6.             ครูส่งเสริมกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากกลุ่มพร้อมทั้งสังเกตส่วนดีและปรับปรุงส่วนด้อยของนักเรียน
7.             ครูใช้สื่อการสอนเพื่อฝึกการคิด การแก้ปัญหา และการค้นพบความรู้
8.             ครูใช้แหล่งเรียนรู้ที่หลากหลายและเชื่อมประสบการณ์กับชีวิตจริง
9.             ครูฝึกฝนกิริยามารยาทและวินัย ตามวิถีวัฒนธรรมไทย
10.      ครูสังเกตและประเมินพัฒนาการของนักเรียนอย่างต่อเนื่อง
http://www.sut.ac.th/tedu/images/blank.gifตัวบ่งชี้จะเป็นแนวทางให้ครูได้เตรียมการวางแผน จัดบรรยากาศ จัดกิจกรรมและจัดกระบวนการเรียนการสอนต่าง ๆ ให้ถูกทาง ตลอดจนเป็นแนวทางการประเมินการสอนของตัวครูเองด้วยอีกส่วนหนึ่ง
http://www.sut.ac.th/tedu/images/blank.gifเทคนิควิธีการเหล่านี้ล้วนเป็นวิธีที่ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติจริง ได้คิดค้นคว้าศึกษาทดลอง ซึ่งทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง ผู้สอนจึงมีบทบาทเป็นผู้อำนวยความสะดวกในหลาย ๆ ลักษณะ ดังนี้ (ชาติแจ่มนุช และคณะ : มทป)
http://www.sut.ac.th/tedu/images/blank.gif1. เป็นผู้จัดการ (Manager) เป็นผู้กำหนดบทบาทให้นักเรียนทุกคนได้มีส่วนเข้าร่วมทำกิจกรรม แบ่งกลุ่ม หรือจับคู่ เป็นผู้มอบหมายงานหน้าที่ความรับผิดชอบแก่ นักเรียนทุกคน จัดการให้ ทุกคนได้ทำงานที่เหมาะสมกับความสามารถและความสนใจของตน
http://www.sut.ac.th/tedu/images/blank.gif2. เป็นผู้ร่วมทำกิจกรรม (An active participant) เข้าร่วมทำกิจกรรมในกลุ่มจริง ๆ พร้อมทั้งให้ ความคิดและความเห็นหรือเชื่อมโยงประสบการณ์ส่วนตัวของนักเรียนขณะทำกิจกรรม
http://www.sut.ac.th/tedu/images/blank.gif3. เป็นผู้ช่วยเหลือและแหล่งวิทยาการ (Helper and resource) คอยให้คำตอบเมื่อนักเรียน ต้องการความช่วยเหลือทางวิชาการ ตัวอย่าง เช่น คำศัพท์หรือไวยากรณ์การให้ข้อมูลหรือความรู้ ในขณะที่นักเรียนต้องการ ซึ่งจะช่วยทำให้การเรียนรู้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น
http://www.sut.ac.th/tedu/images/blank.gif4. เป็นผู้สนับสนุนและเสริมแรง (Supporter and encourager) ช่วยสนับสนุนด้านสื่ออุปกรณ์ หรือให้คำแนะนำที่ช่วยกระตุ้นให้นักเรียนสนใจเข้าร่วมกิจกรรมหรือฝึกปฏิบัติด้วยตนเอง
http://www.sut.ac.th/tedu/images/blank.gif5. เป็นผู้ติดตามตรวจสอบ (Monitor) คอยตรวจสอบงานที่นักเรียนผลิตขึ้นมาก่นที่จะส่งต่อไปให้ นักเรียนผลิตขึ้นมาก่อนที่จะส่งต่อไปให้นักเรียนคนอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านความถูกต้อง ของคำศัพท์ ไวยากรณ์ การแก้คำผิด อาจจะทำได้ทั้งก่อนทำกิจกรรม หรือบางกิจกรรมอาจจะ แก้ทีหลังได้


การเรียนรู้ (Learning) 

1. หมายถึง กระบวนการที่ประสบการณ์ตรงและประสบการณ์ทางอ้อมกระทำให้อินทรีย์ เกิดการเลี่ยนแปลง 

2. หมายถึง การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม อันเนื่องมาจากได้รับประสบการณ์ (Experience)

ประสบการณ์ (Experience) คือ การที่บุคคลใช้ประสาทสัมผัสปะทะ (Interaction) กับสิ่งแวดล้อม (Environment) ซึ่งประกอบด้วย สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ สิ่งแวดล้อมทางสังคม (มนุษย์ด้วยกัน) และสิ่งแวดล้อมทางขนบธรรมเนียมประเพณีต่าง ๆ ที่บุคคลปะทะแล้วทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมขึ้น

ปกติสภาพแวดล้อมมีทั้งดีและไม่ดี สิ่งแวดล้อมที่ดีจะเปลี่ยนพฤติกรรมไปในทางที่ดี ในทางตรงข้ามถ้าสิ่งแวดล้อมไม่ดีก็จะเปลี่ยนพฤติกรรมไปในทางไม่ดี ทั้งนี้เมื่อพันธุกรรมเป็นตังคงที่ ดังนั้นถ้าต้องการให้บุคคลเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปในทางดี (การศึกษา เจริญงอกงาม) จึงไม่อาจปล่อยให้บุคคลไปปะทะกับสิ่งแวดล้อมโดยอิสระ จำเป็นต้องจัดสถานการณ์เฉพาะให้บุคคลปะทะถึงสิ่งแวดล้อมที่ดี และนี่คือที่มาของ การจัดการศึกษา ในการจัดการศึกษา จุดมุ่งหมายสำคัญก็เพื่อให้มี การสอน ที่ถูกต้องชัดเจน
สื่อการเรียนการสอน

       สื่อการเรียนการสอนเป็นตัวกลางซึ่งมีความสำคัญในกระบวนการเรียนการสอนมีหน้าที่เป็นตัวนำความต้องการของครูไปสู่ตัวนักเรียนอย่างถูกต้องและรวดเร็ว เป็นผลให้นักเรียนเปลี่ยน,แปลงพฤติกรรมไปตามจุดมุ่งหมายการเรียนการสอนได้อย่างถูกต้องเหมาะสม สื่อการสอนได้นำไปใช้ในการเรียนการสอนตลอด และยังได้รับการพัฒนาไปตาการเปลี่ยนแปลงทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งก้าวหน้าไปไม่หยุดยั้ง นักการศึกษาเรียกชื่อการสอนด้วยชื่อต่าง ๆ เช่น อุปกรณ์การสอน โสตทัศนูปกรณ์ เทคโนโลยีการศึกษา สื่อการเรียนการสอน สื่อการศึกษาเป็นต้น

สื่อการเรียนการสอนมีประโยชน์สำหรับครูผู้สอนอย่างไร
       สื่อการเรียนการสอนสามรถช่วยการเรียนการสอนของครูได้ดีมากซึ่งเราจะเห็นว่าครูนั้นสามารถจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้กับนักเรียนได้มากทีเดียว แถมยังช่วยให้ครูมีความรู้มากขึ้นในการจัดแหล่งวิทยาการที่เป็นเนื้อหาเหมาะสมแก่การเรียนรู้ตามจุดมุ่งหมายในการสอนช่วยครูในด้านการคุมพฤติกรรมการเรียนรู้และสามารถสนับสนุนการเรียนรู้ของนักเรียนได้มากทีเดียว สื่อการสอนจะช่วยส่งเสริมให้นักเรียนได้ทำกิจกรรมหลายๆรูปแบบ เช่น การใช้ศูนย์การเรียน การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน การสาธิต การแสดงนาฏการ เป็นต้น ช่วยให้ครูผู้สอนได้สอนตรงตามจุดมุ่งหมายการเรียนการสอน และยังช่วยในการขยายเนื้อหาที่เรียนทำให้การสอนง่ายขึ้น และยังจะช่วยประหยัดเวลาในการสอน นักเรียนจะได้มีเวลาในการทำกิจกรรมการเรียนมากขึ้นจากข้อมูลเราจะได้เห็นถึงประโยชน์ของสื่อการเรียนการสอน ซึ่งทำให้เรามองเห็นถึงความสำคัญของสื่อสารมีประโยชน์และมีความจำเป็นสามารถช่วยพัฒนาการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ


ประเภทของสื่อการเรียนการสอน
       1.สื่อประเภทวัสดุ ได้แก่ สื่อเล็ก ซึ่งทำหน้าที่เก็บความรู้ในลักษณะของภาพเสียง และ อักษรในรูปแบบต่าง ๆ ที่ผู้เรียนสามารถใช้เป็นแหล่งหาประสบการณ์ หรือศึกษาได้อย่างแท้จริงและกว้างขวาง แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ
       1.1วัสดุที่เสนอความรู้ได้จากตัวมันเอง ได้แก่หนังสือเรียนหรือตำราของจริงหุ่นจำลอง รูปภาพ แผนภูมิ แผนที่ ป้ายนิเทศ เป็นต้น
       1.2วัสดุที่ต้องอาศัยสื่อประเภทเครื่องกลไก เป็นตัวนำเสนอความรู้ได้แก่ฟิล์มภาพยนตร์ แผ่นสไลด์ ฟิล์มสตริป เส้นเทปบันทึกเทป รายการวิทยุ รายการโทรทัศน์ รายการที่ใช้เครื่องช่วยสอน เป็นต้น
       2. สื่อประเภทเครื่องมือ หรือโสตทัศนูปกรณ์ ได้แก่ สื่อใหญ่ ที่เป็ฯตัวกลางหรือทางผ่านของความรู้ ที่ถ่ายทอดไปยังครูและนักเรียน สื่อประเภทนี้ตัวมันเองแทบไม่มีประโยชน์ต่อการสื่อความหมายเลยถ้าไม่มีใครรู้ในรูปแบบต่าง ๆ มาป้อนผ่านเครื่องกลไกลเหล่านี้ สื่อประเภทนี้จึงจำเป็นต้องอาศัยสื่อประเภทวัสดุ บางชนิดเป็นแหล่งความรู้ให้มันส่งผ่าน ซึ่งจะทำให้ความรู้ที่ส่งผ่านมีการเคลื่อนไหวไปสู่นักเรียนจำนวนมาก ได้ไกลๆ และรวดเร็ว และบางทีก็ทำหน้าที่เหมือนครูเสียเอง เช่น
เครื่องช่วยสอน ได้แก่เครื่องฉายภาพยนตร์ เครื่องเล่นแผ่นเสียง เครื่องบันทึกเสียง
เครื่องรับวิทยุ เครื่องฉายภาพนิ่งทั้งหลาย
       3.สื่อประเภทเทคนิคหรือวิธีการ ตัวกลางในกระบวนการเรียนการสอนไม่จำเป็นต้องใช้แต่วัสดุหรือเครื่องมือเท่านั้น บางครั้งจะต้องใช้เทคนิคและกลวิธีต่าง ๆ ควบคู่กันไป โดยเน้นที่เทคนิคและวิธีการเป็นสำคัญ 
คุณค่าของสื่อการเรียนการสอน
       1.สื่อการเรียนการสอนสามารถเอาชนะข้อจำกัดเรื่องความแตกต่างกันของประสบการณ์ดั้งเดิมของผู้เรียน คือเมื่อใช้สื่อการเรียนการสอนแล้วจะช่วยให้เด็กซึ่งมีประสบการณ์เดิมต่างกันเข้าใจได้ใกล้เคียงกัน
       2.ขจัดปัญหาเกียวกับเรื่องสถานที่ ประสบการณ์ตรงบางอย่าง หรือการเรียนรู้
       3.ทำให้เด็กได้รับประสบการณ์ตรงจากสิ่งแวดล้อมและสังคม
       4.สื่อการเรียนการสอนทำให้เด็กมีความคิดรวบยอดเป็นอย่างเดียวกัน
       5.ทำให้เด็กมีมโนภาพเริ่มแรกอย่างถูกต้องและสมบูรณ์
       6.ทำให้เด็กมีความสนใจและต้องการเรียนในเรื่องต่าง ๆ มากขึ้น เช่นการอ่าน ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ทัศนคติ การแก้ปัญหา ฯลฯ
       7.เป็นการสร้างแรงจูงใจและเร้าความสนใจ
       8.ช่วยให้ผู้เรียนได้มีประสบการณ์จากรูปธรรมสู่นามธรรม

                                                                              



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น